พักเบรค ถือเป็นช่วงเวลางามให้อูไนได้ย้อนกลับไปพิจารณาผลงานที่ผ่านมา เชื่อว่าจะเห็นปัญหาแน่นอน แต่จะแก้หรือไม่แก้ แก้ตรงจุดหรือแก้ไม่ตรงจุด
คงได้รู้เมื่อเปิดฟลอร์ฟาดแข้งอีกครั้ง ส่วนคำวิพากษ์ฟอร์มการเล่นของทีมที่หลั่งไหลออกมาก็หลากหลายทั้งบวกทั้งลบ ขึ้นอยู่กับว่าจะมองในแง่ง่ามไหน
จะเซ่ดถึงเรื่องนี้อีกก็ดูจะซ้ำซากวนมาเวียนไปชักหน่ายชักเลี่ยน งั้นเปลี่ยนบรรยากาศเอาท้อปปิคสัพเพเหระเบากบาลอื่นๆมาบรรเลงรับฝนฟ้าคะนองดีกว่า
ในช่วง10ปีที่ผ่านมามหาเศรษฐีทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาครอบครองสโมสรฟุตบอลอย่างมากมาย จุดประสงค์ก็แตกต่างกันทั้งเข้ามาด้วยความมันในเกมกีฬา
ทั้งเข้ามาด้วยเหตุผลทางธุรกิจ ฯลฯ คำว่าทั่วโลกนั้นย่อมหมายรวมถึงนักธุรกิจระดับไทคูนจากเอเซีย และแน่นอน สยามเมืองยิ้มไทยแลนด์ของเราเข้าด้วย
เอาเป็นว่า ข้อเขียนนี้จะเน้นเฉพาะเสี่ยจากเอเซียกับทีมในลีกอังกฤษ เพราะไม่แน่วันหนึ่งวันใดข้างหน้าประดาทีมเหล่านั้นอาจไต่เต้าขึ้นมาเป็นคู่ศึกของเรา
เท่าที่พอรู้ก็มี ชี้คมันซูร์(UAE)แมนซิตี้, โทนี่เซี๊ยะ(China)แอสตันวิลล่า, โทนี่ เฟอร์นันเดส(Malaysia)ควีนส์ปาร์ค, เดชพล จันศิริ(Thai)เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์
ไต้หยงเก๋อและไต้หลิวซี(China)เร้ดดิ้ง, ฟาร์ฮัดโมชิริ(Iran)เอฟเวอร์ตัน, ซาฮิด ข่าน(Pakistan)ฟูแล่ม และศรีวัฒนประภา(THAI)เลสเตอร์ ที่ฟันแจ้คพอท
ก็ต้องศรีวัฒนประภา นำเลสเตอร์คว้าแช้มป์พรีเมียร์เป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร และชี้คมันซูร์ ที่ทุ่มเงินมหาศาลพาแมนซิตี้กลายเป็นทีมระดับเทพไปแล้ว
โดยปกติถ้าไม่รวยมหาประลัยอย่างชี้คและฟาร์ฮัด การซื้อทีมมักจะโฟกัสไปที่ลีกรองอย่างแชมเปี้ยนชิพ เพราะเม็ดเงินที่ต้องจ่ายย่อมเยาราวๆ40ล้านปอนด์
หรือประมาณ2พันล้านบาท จากนั้นก็ปั้นทีมให้ขึ้นสู่พรีเมียร์เพื่อเพิ่มมูลค่า ถ้าบุญมาวาสนาช่วยได้แช้มป์พรีเมียร์ ก็ย่อมดีเลิศประเสริฐศรีแก่ตัวและกระเป๋ายิ่ง
เหมือนถูกหวยนั่นแหละรับเละทั้งเงินทั้งกล่องถอนทุนได้ในพริบตา นอกเหนือจากนั้นกำไรเนื้อๆแน่นๆ เหล่ามหาเศรษฐีทั้งหลายจึงจ้องกันตาเป็นมันไปเลย
และถึงไม่ได้แช้มป์แต่ประคองให้อยู่ในตำแหน่งที่ดี แล้วทำมาหากินกับการซื้อขายนักเตะ ก็ยังพอเป็นเนื้อเป็นหนังอยู่เหมือนกัน เพราะราคานักเตะยุคนี้ต้อง
ว่ากันตามสภาวะเงินเฟ้อฟองสบู่ลอยฟูฟ่อง นักเตะหน้าใหม่โนเนมโชว์ฟอร์มเทพเข้าตาแมวมองราคาพุ่งกระฉูด เทรดกันเหยียบหลักร้อยล้านทำเป็นเล่นไป
ทั้งนายหน้่าทั้งเอเย่นต์ทั้งต้นสังกัดปั่นราคากันตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน้อตลิ้นเป็นสกรูว์ ซื้อง่ายขายคล่องถ้าเงินถึงและตีนถึง ทีมเบี้ยน้อยหอยเล็กอย่าสะเออะ
อีกทีมของคนไทยที่เหลือก็ไม่ธรรมดามีแววจะทะลุขึ้นสู่ลีกบนในเร็ววัน เช้ฟฟิลด์เว้นส์เดย์ของเดชพล หวุดหวิดจวนเจียน เคยได้เพลย์ออฟ2ครั้ง2คราดันวืด
ปีที่แล้วเกาะกลุ่มแต่หลุดโค้ง ปีนี้อยู่ที่11มี10แต้มห่างจากโซนเลื่อนชั้น2แต้มถือว่ายังมีลุ้น...แต่ก็นั่นแหละเรื่องการลงทุนทำธุรกิจมันก็มีได้มีเสีย ไม่ได้หวาน
คอแร้งทุกครั้งไป กลุ่มทุนของคุณหญิงศศิมาศรีวิกรม์ก็ต้องถอนตัวขายทีมเร้ดดิ้งต่อ หรือบีเตชะอุบลที่จะเข้าเท้คเอซีมิลานสุดท้ายต้องบ๊ายบายโบกมืออำลา
ไม่เฉพาะแต่ผู้มีอันจะกินที่ผันตัวเข้าวงการฟุตบอลอังกฤษ บรรดาสินค้าแบรนด์ไทยทั้งหลายก็พาเหรดเข้าซื้อโฆษณากับสโมสรต่างๆกันเอิกเกริกเกือบ20เจ้า
อาทิเช่น ชุดกีฬา FBT (Doncaster Rovers) , กะทิชาวเกาะ (Liverpool , เบียร์สิงห์ และ King Power (Licester City) , คาราบาวแดง (Chealsea) เป็นต้น
ค่าใช้จ่ายของแต่ละแบรนด์เกิน1ล้านปอนด์ทั้งสิ้น โดยคาราบาวจ่ายถึง30ล้านปอนด์(2ช่วง2016-2017, 2018-2019) หรือเบียร์ช้างกับท้อฟฟี่ก็16ล้านปอนด์
วงการฟุตบอลสมัยนี้จึงเข้าสู่โหมดธุรกิจเต็มสตีม และแน่นอน เมื่อการเงินเข้าครอบงำตั้งแต่หัวจรดตีน จิตวิญญาณบางประการก็ต้องเลือนหายไปเป็นธรรมดา
ต่อไปคงจะหานักเตะที่จงรักภักดีต่อสโมสรได้ยากเย็นเต็มที เพราะนักเตะย่อมพิสมัยรายได้งามๆที่ต้นสังกัดใหม่จะประเคนให้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใด
อายุงานในอาชีพนี้อย่างเก่งได้แค่30กลางๆก็ต้องเลิกลาหลังจากนั้นแล้วแต่ดวง มีน้อยรายที่บริหารเงินได้เก่ง ส่วนใหญ่ล่อเหล้าเมาแประเสียผู้เสียคนตอนแก่
ว่ากันแค่หอมปากหอมคอพอเป็นกระษัย เนื้อหาของบทความฉกมาจากหลากเวป อัพเดทมั่งไม่อัพมั่งชั่งหัวมัน เพราะไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเร้ฟเฟอเร้นซ์อ้างอิง
เพียงแต่นั่งดูฝนแล้วเหงามือเฉาปากอยากจะเขียน ข้อมูลบางตัวจากบางแหล่งก็ขัดแย้งกันคนละเรื่องเดียวกัน จึงต้องหลับหูหลับตาจับแพะชนแกะจิ้มมันซี้ซั้ว
ดังนั้น ความผิดพลาดความไม่ถูกต้องทั้งหลายแหล่ ขอยกให้ผู้อื่นทั้งหมด ส่วนความดีงามความถูกต้อง ขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว คือ รับแต่ชอบไม่รับผิด ว่างั้น!