มิเกล อาร์เตต้า เคยพูดเอาไว้กับนักเตะเยาวชน ระหว่างการประชุมการฝึกสอนกับสมาคมฟุตบอลเวลส์ในปี 2017 "ผมไม่ชอบการสร้างเส้นตรงระหว่างผู้เล่นริมเส้น" ขณะที่บนหน้าจอเขากำลังอธิบายว่าทำไมเขาถึงต้องการเปลี่ยนมุมการรับส่งบอลแบบดั้งเดิม ระหว่างฟูลแบ็คกับปีก
"ทำไมล่ะ? เพราะฟูลแบ็คจ่ายขึ้นไปตรงๆ ให้กับผู้เล่นตำแหน่งปีก เมื่อรับบอลเขาจะหันหลังให้กับประตู และไม่สามารถพาบอลขึ้นหน้าไปได้ เมื่อมีคู่แข่งอยู่ด้านหลัง แต่เมื่อคุณจ่ายบอลเป็นแนวทแยงมุม ปีกจะสามารถเอาบอลไปเล่นต่อได้ทันที"
ตอนนี้สิ่งที่เขาได้พูดในตอนนั้น กลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับริมเส้นฝั่งขวาของอาร์เซน่อลในฤดูกาล อย่างประตูนำ 2-0 ของบูคาโญ ซาก้า ในเกมส์กับคริสตัล พาเลซ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นวิธีการจ่ายบอลแบบนั้น
บูคาโญ ซาก้า เป็นผู้เล่นคีย์แมนของอาร์เซน่อล และการป้อนบอลให้เขาในลักษณะที่ทำให้เขาได้ คือ กุญแจสำคัญที่จะทำให้เขามีผลกระทบต่อเกมส์ และตอนนี้ทุกทีมมีความกังวลในการดวลตัวต่อตัวกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ตัวอย่างด้านล่างในเกมส์ที่พบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสิ่งที่อาร์เตต้า ไม่ต้องการ เมื่อไวท์เห็นซาก้ากำลังวิ่งเข้ามารับบอล และเลือกจ่ายไปตรงๆ แต่ลุค ซอว์ ได้อ่านสถานการณ์และสามารถบีบซาก้าได้ทันที แม้ว่าจะลงเอยด้วยการที่ซอว์ไปทำฟาล์วใส่ซาก้า แต่ไม่ใช่สถานการณ์ในอุดมคติของอาร์เตต้า เพราะมันเป็นการหยุดการเล่นเกมส์รุก และเปิดโอกาสให้แนวรับของยูไนเต็ดได้มีการจัดตำแหน่งการยืนกันใหม่
ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมอาร์เตต้า ถึงไม่อยากให้ซาก้าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่เขาต้องการให้ ไวท์ ชะลอการส่งบอลจนกว่าช่องการจ่ายบอลจะปรากฏขึ้น แล้วซาก้าหมุนตัววิ่งเข้าไปด้านใน จากนั้นไวท์ก็จะจ่ายเป็นแนวทแยงเพื่อให้เขาวิ่งมารับบอลด้วยเท้าซ้ายที่เขาถนัด มันเปิดพื้นที่ทั้งสนามและทำให้เขามีช่องว่างในการเล่นเกมส์รุก ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่กองหลังของคู่แข่งยากที่จะรับมือ
นี่คือสิ่งที่อาร์เตต้ามองหา อย่างในเกมส์กับเลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อโอเดการ์ดได้รับบอลจากจอร์จินโญ่ เขาจ่ายบอลทแยงไปให้กับซาก้า ที่ขยับเข้าด้านใน เมื่อเขาได้รับบอลจากโอเดการ์ด และเขาสามารถจ่ายบอลสวิตซ์ไปฝั่งซ้ายให้กับชาคา โดยที่คู่แข่งไม่สามารถเข้ามากดดันเข้าได้
ไวท์ และซาก้า ลงเล่นด้วยกัน 2,088 นาทีร่วมกันในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามีความสำคัญเพียงใด เราจะเห็นว่าไวท์มีการจ่ายบอลให้กับซาก้ามากกว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่น โดยเขาผ่านบอลสำเร็จ 334 ครั้ง ซึ่งเป็นเส้นสีแดงตามภาพด้านล่าง
นั้นคือค่าเฉลี่ย 14.4 ครั้งจากไวท์ไปที่ซาก้าต่อ 90 นาที โดยคนที่จ่ายบอลให้กับซาก้าเฉลี่ยรองลงมาคือ 9.5 ครั้ง และมาร์ติน โอเดการ์ด 7.0 ครั้ง เมื่อดูแผนผังการจับบอลของไวท์ด้านล่าง ก็แสดงให้เห็นว่าเขาผสมผสานการเคลื่อนที่ในการโจมตีของเขาอย่างไร ซึ่งปกติแล้วเขาจะชอบที่จะ Overlap ขึ้นไป แต่ก็มีขยับเข้าไปข้างในเพื่อประสานงานกับซาก้า
ในการเจอกับวูลฟ์แฮมตันเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ไวท์จ่ายบอลให้กับซาก้า 27 ครั้ง การประสานงานของทั้งคู่แบบโดยตรงสร้างโอกาส 7 ครั้งในฤดูกาลนี้หรือ 0.3 ครั้งต่อ 90 นาที และมีผลกับการเคลื่อนที่ที่หลากหลาย ที่ทำให้ซาก้าสามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่น
ในตัวอย่างเกมส์กับท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ไวท์เห็น ซาก้า อยู่ตรงบริเวณริมเส้น แต่เขาชะลอ จนเห็นว่า เซสเซยอง กำลังจะขยับเข้าไปใกล้กับซาก้า แล้วก็ก็จ่ายทแยงเข้าด้านใน ซึ่งซาก้าก็วิ่งไปรับบอล เปิดทางให้ซาก้าได้สามารถพาบอลพุ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษของคู่แข่ง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อันตรายไม่ว่าจะเจอกับทีมไหนก็ตาม
เมื่อเทียบระหว่างไวท์กับโทมิยาสุ ในตำแหน่งแบ็คขวา ไวท์สามารถ Overlap ขึ้นไปเมื่อสร้างความสับสนให้กับคู่แข่ง ขณะที่โทมิยาสุ มักจะเล่นอยู่ด้านหลังแล้วปล่อยให้ซาก้า เล่นแบบ Isolate ซึ่งไวท์จะมีความยืดหยุ่นมากกว่าในการวิ่งทั้งแบบ Underlap หรือ Overlap
อย่างในเกมส์กับเบรนท์ฟอร์ด ที่เป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ของอาร์เซน่อล เขาวิ่ง Overlap ขึ้นมา แต่ซาก้าไม่มีมุมที่จะจ่ายบอลให้กับเขา ดังนั้นจึงเลือกจ่ายเข้าในให้กับโอเดการ์ด ขณะที่ไวท์ วกกลับมาจากตำแหน่งล้ำหน้า ตัวประกบก็ต้องระแวงกับไวท์ เป็นการเปิดช่องว่างให้กับ ซาก้า ได้วิ่งสอดขึ้นมา โอเดการ์ดจ่ายบอลทะลุช่อง ก่อนที่ซาก้าจะเปิดเร็วไปที่เสาสองให้ ทรอสซาร์ ชาร์จบอลเข้าไปตุงตาข่าย
การเล่นของซาก้า เขาไม่ได้ปักอยู่ริมเส้นตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เราได้เห็นเขาขยับเข้ามาด้านในของ Half Space เป็นการปั่นป่วนรูปแบบเกมส์ป้องกันของคู่แข่ง อย่างในเกมส์ที่เจอกับฟูแล่มที่เอมิเรสต์ เมื่อต้นฤดูกาล และแสดงให้เห็นเขากลายเป็นตัวเลือกในการจ่ายบอลจากแนวรับได้
เมื่อ วิลเลี่ยม ซาลิบา พาบอลขึ้นมาตรงกลางสนาม ไวท์ขยับขึ้นสูงที่ริมเส้นด้านนอก ทำให้ อันโตนี่ โรบินสัน แบ็คของฟูแล่มที่เป็นคู่ประกบกับชาก้า ต้องเริ่มขยับไปตามประกบไวท์ ตำแหน่งของไวท์สามารถเปิดช่องว่างได้ ซาลิบาจ่ายบอลเข้ามาให้กับซาก้า และเขาหมุนตัวพลิกบอล ก่อนที่อาร์เซน่อลจะได้ประตูตีเสมอ 1-1 ในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา
การหลอกล่อและทิศทางการวิ่งที่แตกต่างของไวท์ และซาก้า ตามทฤษฏีของอาร์เตต้า ทำให้เขาพวกเขาเป็นหนึ่งในคู่หูในเกมส์รุกที่อันตรายมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก

[Tactic Analysis] ตามทฤษฏีอาร์เตต้า!! "ไวท์-ซาก้า" คู่หูสุดอันตรายในเกมส์รุกฝั่งขวาปืนใหญ่
#1
Posted 22 March 2023 - 10:55 AM
#5
Posted 22 March 2023 - 11:52 AM
ฝั่งขวา ซาก้า-โอเดการ์ด-ไวท์
ฝั่งซ้าย มาร์ตี้-ทรอสซาร์/เฆซุส-ซาคา
ตรงกลางมี ปาร์เตย์-ชินนี่
ทำให้เกมส์รุกเรามันเข้าทำได้หมดทั้งซ้ายและขวา ตอนที่ไม่มี False9 ทำให้ฝั่งซ้ายดร็อปลงไป มาร์ตี้ต้องมีคนมาเชื่อม มาสลับตำแหน่ง เพราะมาร์ตี้ยังไม่ได้ดวล 1 ต่อ 1 เก่งเท่าซาก้า ที่จะเล่นแบบ Isolate ได้
#6
Posted 22 March 2023 - 03:20 PM
ผมว่าถ้าไม่ใช่ มาตี้ โอเด ซาก้า + ไวท์ ซิน ทรอ ผลก็ไม่เหมือนกัน ผมให้เครดิต ความเข้าใจ เข้าขา กันมากกว่า (เล่นนานกันจนเร็วขึ้น และอันตรายขึ้น) หลายทีไวท์ก้มหน้าส่งไปตำแหน่งนัดพบ ซาก้าก็รอตรงนั้นจริงๆ ลองถอดซาก้าออกแล้วเอาคนอื่นลงแต่ใช้แผนเดิมสิ ผมว่าคนละเรื่อง ขนาดหงส์แผนเดิมคนเดิมเกือบหมด ยังร่วงลงมาเลย
หรือพูดตรงข้าม คู่แข่งก็รู้อยู่แล้วว่าเราจะเล่นแผนนี้ แต่ทำไมยังหยุดซาก้า หรือมาตี้ไม่ได้
#8
Posted 23 March 2023 - 08:24 AM
ฝั่งขวา ซาก้า-โอเดการ์ด-ไวท์
ฝั่งซ้าย มาร์ตี้-ทรอสซาร์/เฆซุส-ซาคา
ตรงกลางมี ปาร์เตย์-ชินนี่
ทำให้เกมส์รุกเรามันเข้าทำได้หมดทั้งซ้ายและขวา ตอนที่ไม่มี False9 ทำให้ฝั่งซ้ายดร็อปลงไป มาร์ตี้ต้องมีคนมาเชื่อม มาสลับตำแหน่ง เพราะมาร์ตี้ยังไม่ได้ดวล 1 ต่อ 1 เก่งเท่าซาก้า ที่จะเล่นแบบ Isolate ได้
ถ้าเป็นเวลาขึงเกมบบุก ผมว่าฝั่งซ้ายจะมี Zinchenko อีกคนนะครับ แล้ว Partey ยืนเดี่ยวตรงกลาง อาจจะมีการสลับกันของ Zinchenko และ Xhaka ลงต่ำมาบ้างครับ
ส่วน Trossard กับ Marti จะสลับกันออกมายืนฝั่งซ้ายครับ ถ้าคนใดคนหนึ่งออกมา อีกคนจะกลับเข้าเขตโทษครับ แต่การกลับเข้าเขตโทษก็จะยืนมาทางฝั่งซ้ายนี่แหละครับ
ส่วนที่ Marti ดร็อปไปช่วงหลังบอลโลก เพราะ ไม่มี False9 อย่าง Jesus นี่แหละครับ แต่พอได้ Trossard ที่มีความคล้าย Jesus มากกว่ามายืนฟอร์มก็กลับมาดีเหมือนเดิมครับ
1 user(s) are reading this topic
0 members, 1 guests, 0 anonymous users