เมื่อถามมิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อล กับความท้าทายมากที่สุดในฤดูกาลนี้ เขาบอกว่า: "การทำให้คู่แข่งรู้สึกหายใจไม่ออกมากกว่าเดิม สร้างโอกาสได้มากขึ้น ปล่อยโอกาสให้คู่แข่งเท่ากับศูนย์ และเล่นให้ห่างจากกรอบประตูของเรา"
นี่อาจจะเป็นวิธีที่อธิบายทิศทางของอาร์เซน่อล หลังจากผ่านไปเกือบ 4 ปีภายใต้การชี้นำของกุนซือหนุ่มชาวสเปน แนวโน้มของไลน์เกมส์รับของอาร์เซน่อลสูงขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละฤดูกาล ด้วยความยืดหยุ่นในเกมส์รับ ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งมากขึ้น วิธีการเล่นเสี่ยง แล้วได้รับผลตอบแทน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในการปะทะกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้
ทั้งสองสโมสรพบกัน 5 เกมส์ในปี 2023 เป็น 3 เกมส์ในพรีเมียร์ลีก, หนึ่งครั้งในเอฟเอ คัพ และอีกครั้งในคอมมูนิตี้ ชิลด์ อาร์เซน่อลสามารถเอาชนะซิตี้ได้ 2 ครั้ง และแมนซิตี้เอาชนะไปไ้ด้ 3 เกมส์
โครงสร้างเกมส์รับของอาร์เซน่อล ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลา 2 ปีครึ่งแล้ว ตั้งแต่มาร์ติน โอเดการ์ด ย้ายมาเล่นแบบยืมตัวเมื่อเดือนมกราคม 2021 พวกเขาเริ่มจัดระบบเวลาไม่มีบอลแบบ 4-4-2 โดยมีจอมทัพทีมชาตินอร์เวย์ ขึ้นไปเล่นเพลสซิ่งร่วมกับกองหน้า เป้าหมายหลักคือการชี้นำแนวรับของคู่แข่ง ให้ไปยังเส้นข้างสนาม แล้วบีบให้คู่แข่งเสียบอล
หนึ่งเกมส์ที่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดีในช่วงแรก คือเกมส์พบกับวูลฟ์แฮมตัน ในฤดูกาล 2021/22 คนส่วนใหญ่อาจจะจำได้กับประตูชัยของ อเลซองเดร์ ลากาแซตต์ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แต่เกมส์นั้นเป็นหนึ่งที่เกมส์เพลสซิ่งของอาร์เซน่อลมีความโดดเด่น หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ในสารคดี All or Nothing ทางอะเมซอน อาร์เตต้าเคยพูดแบบติดตลก เกี่ยวการปรับเงินนักเตะ 5,000 ปอนด์ทุกครั้ง ที่วูลฟ์จ่ายบอลทางฝั่งขวาของอาร์เซน่อลได้
การบีบฟูลแบ็ค และเซนเตอร์แบ็ค เป็นกุญแจสำคัญในวันนั้น และต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้
เมื่อซัมเมอร์ปีก่อน อาร์เซน่อลได้มีเพิ่มรายละเอียดใหม่ที่จะทำให้คู่แข่งเจอความยากลำบากมากขึ้น เมื่อ กรานิต ชาคา ถูกให้ขึ้นมาร่วมเพลสด้วยอีกคน ขณะที่ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ จะเข้ามารับตำแหน่งกองกลางแทน
ชาคาแสดงให้เห็นระหว่างเกมส์ปรีซีซั่นที่เอาชนะเชลชี 4-0 และหลายสัปดาห์ต่อมา การปรับเปลี่ยนดังกล่าว เปลี่ยนเป็นประตูในเกมส์กับเลสเตอร์ ซิตี้
เมื่ออาร์เซน่อล ครองพื้นที่ได้อย่างเชี่ยวชาญมากขึ้น ผลงานของพวกเขาก็ดีขึ้นเช่นกัน แต่ยังคงต้องการความสมบูรณ์แบบในการเจอกับเฮดโค้ชและยอดทีมในยุโรป พวกเขาต้องดำเนินการและมีความสม่ำเสมอตลอด 90 นาที ซึ่งทำให้เห็นความแตกต่าง นั่นคือสาเหตุที่ทำไมอาร์เตต้า จะชอบใช้วลีคำว่า "ช่องว่างแค่เล็กน้อย" และตัวอย่างที่ชัดเจนคือการบุกไปแพ้แมนซิตี้ 4-1 ในเมื่อเดือนเมษายน
วิธีการของอาร์เซน่อลคือการเพรสซิ่งอย่างดุดันที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ภาพด้านล่าง จอห์น สโตน จ่ายบอลออกข้างให้รูเบน ดิอาซ ทางโอเดการ์ดจะขยับขึ้นไปไล่ เขาจ่ายบอลกลับหลัง ก่อนที่สโตนจะถูกบีบให้ต้องสาดบอลยาว แต่ในพื้นที่ตรงกลางสนามด้านบน เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ สามารถพักบอล และออกบอลตัดแนวให้กับเดอ บรอยน์ ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ปัญหาของอาร์เซน่อลไม่ได้เป็นเรื่องการเพลสแดนบน แต่เป็นการขยับขึ้นมาเล่นของแผงแนวรับ
ผู้เล่นที่เคลื่อนที่ คือสิ่งที่ทำให้เกมส์หลุดจากการควบคุมของอาร์เซน่อล
จะเห็นได้ว่าเมื่อมีกองกลางบางคนถูกดึงให้ขยับไปข้างหน้า โดยปล่อยให้ อิลคาน กุนโดกาน เป็นอิสระในการรับบอลตรงพื้นที่กลางสนามข อย่างไรก็ตามอาร์เซน่อล ทำได้ดีกว่าเดิม ในการปิดพื้นที่ตรงกลาง และตัดฮาลันด์ออกจากเกมส์ ในสองเกมส์หลังสุดที่พวกเขาเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้
อันดับแรก แทนที่จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้กองหลัง และกองกลางของคู่แข่งอีดอัดกับการโดนเพลสซิ่ง ในเกมส์คอมมูนิตี้ ชิลด์ พวกเขาขยับ เดแคลน ไรซ์ ขึ้นมาเพลสซิ่งร่วมกับ โอเดการ์ด และไค ฮาแวร์ตซ์ หน้าที่หลักของพวกเขาคือ จัดการกับคู่กลางของซิตี้ (โรดรี้ และมัตเตโอ โควาซิซ) ถ้าหากหนึ่งในกองกลางของซิตี้ได้รับบอล พวกเขาจะยืนแบบ Compact ในพื้นที่ตรงกลาง และบีบให้ซิตี้ต้องออกไปทางด้านข้าง
โครงสร้างดังกล่าวถูกนำมาใช้ในอีกครั้งในเกมส์ล่าสุดที่เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ในการเล่นบล็อกพื้นที่ตรงกลาง ภาพด้านล่างทั้งหมดเป็นช่วง 10 นาทีแรกของเกมส์
ความแตกต่างประการที่สอง คือ เป็นเรื่องตัวบุคคล และการตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขา การกลับมาของวิลเลี่ยม ซาลิบา ที่มาจับคู่กับกาเบรียล ในทั้งสองเกมส์ที่พบกับซิตี้ นำความสงบมาสู่แผงเกมส์รับของอาร์เซน่อล ทั้งคู่มีความโดดเด่น และกระตือรือร้นอย่างมาก ในการเข้าไปท้าทายผู้เล่นที่เข้าไปรับบอลยาวจาก เอแดร์ซอน เรียกได้ว่าทั้งสองเกมส์ ซาลิบา ปิดตายฮาลันด์ได้อยู่หมัด
โครงสร้างของอาร์เซน่อลถูกพัฒนาขึ้นในการต่อกรกับซิตี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการที่พวกเขาครอบครองพื้นที่ตรงกลางได้ดีทั้งสามส่วนของสนาม ชัยชนะทั้งสองเกมส์ของอาร์เซน่อลเหนือซิตี้ในฤดูกาลนี้ พวกเขาเริ่มต้นด้วยการยอมรับว่าพวกเขาจะต้องเล่นแบบไม่มีบอล ก่อนที่จะเติบโตขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 20 นาทีของเกมส์
แผนของพวกเขาคือรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ก่อนที่จะทุ่มทุกอย่างเพื่อคว้าชัยชนะ ในคอมมูนิตี้ ชิลด์ พวกเขายอมสละกองหลังไปหนึ่งคนเพื่อส่งผู้เล่นตัวรุกที่มีเทคนิคสูงๆ ลงมา (เลอันโดร ทรอสซาร์, สมิธ โรว์ และฟาบิโอ วิเอร่า) เกมส์ล่าสุดพวกเขาเลือกใช้ผู้เล่นรูปร่างที่สูงใหญ่ลงมาเล่นในช่วงท้าย และการประสานงานระหว่าง ทาเคฮิโร่ โทมิยาสุ กับไค ฮาแวร์ตซ์ ก็เป็นส่วนสำคัญในประตูชัยของพวกเขา
แม้ว่าแนวทางนี้จะเป็นประโยชน์กับการเผชิญหน้ากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่อาร์เซน่อล ก็ยังมีสิ่งที่ยังปลดปล่อยออกมาไม่หมด พวกเขาทำได้ดีขึ้น 2 คะแนนเมื่อเทียบกับโปรแกรมเดียวกันเมื่อปีก่อน (20 คะแนน ต่อ 18 คะแนน) และพวกเขาเสียประตูน้อยลง (6 ต่อ 8 ประตู) แต่พวกเขายิงประตูได้น้อยลง (16 ต่อ 19 ประตู)
ทีมของอาร์เตต้า มีความยืดหยุ่นในเรื่องวิธีการมากขึ้น โดยเฉพาะกับวิธีการเล่นเวลาไม่มีบอล อย่างในเกมส์ที่เสมอท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 2-2 เมื่อเดือนกันยายน พวกเขามีวิธีการเพลสซิ่งที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย ซึ่งออกแบบมาเพื่อหยุดการขึ้นเกมส์จากแนวรับของฝั่งท็อตแน่ม และหวังว่าจะสร้างโอกาสจากการตัดบอลได้
ภาพเคลื่อนไหวด้านล่าง เป็นการแสดงให้เห็นการเพลส 3 ครั้งของอาร์เซน่อล จังหวะแรก ไรซ์ ที่ตามประกบ เจมส์ แมดดิสัน ตะโกนให้วิเรอ่าขยับขึ้นไปบีบใส่ อีฟฟ์ บิสซูม่า, จังหวะที่สองโครงสร้างเกมส์รับของอาร์เซน่อลบีบให้ทางสเปอร์ต้องสาดบอลยาว และจังหวะที่สาม เป็นการเพลสใส่ แมดดิสัน ของกาเบรียล เฆซุส ทำให้เขาได้บอลเข้าไปยิงในกรอบเขตโทษ แต่ลูกยิงเต็มข้อของเขาข้ามคานออกไป
ภาพรวมอาร์เซน่อลดูแข็งแกร่งมากขึ้น มีความยืดหยุ่นที่สูงขึ้น แต่เกมส์รุกของพวกเขายังคงต้องรอการปลดปล่อยอย่างแท้จริงอยู่ พวกเขาเป็นรองแมนซิตี้เพียงแค่การทำประตูเท่านั้น และเอาชนะบททดสอบที่พวกเขาไม่เคยผ่านได้ทั้งการเจอกับซิตี้ และการไปเยือนเอฟเวอร์ตัน ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่สมดุลในการเล่นยังเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายอยู่