มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี ผู้จัดการทีมยูเวนตุส เป็นตัวเต็งลำดับต้นๆ ที่จะเข้ามาแทนที่ของอาร์แซน เวงเกอร์ จากการเปิดเผยจากแหล่งข่าวสกายสปอร์ต แต่กุนซือชาวอิตาเลี่ยนวัย 50 ปี จะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นที่เอมิเรสต์ สเตเดี้ยมได้อย่างไร?
มีแชมป์เป็นเครื่องการันตี:
หากวัดการที่ถ้วยรางวัล คงจะมีผู้จัดการทีมคนอื่นที่เป็นคู่แข่งของอัลเลกรีไม่มากนัก เขาคว้าแชมป์ 7 รายการในเวลา 8 ปี และอาจจะเป็น 9 แชมป์ในสัปดาห์หน้า
มันเริ่มต้นในปี 2010/11 เมื่อเขาพาเอซี มิลาน กลับมาคว้าแชมป์กัลโช่ ซีรีย์อาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2004 ตั้งแต่ปีแรกที่เขามาคุมปีศาจแดงดำ ก่อนที่เขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมยูเวนตุสในปี 2014 โดยเขาเข้ามาสานต่อความสำเร็จของ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่พาทีมคว้าแชมป์ลีกมาสามปีติดต่อกัน
อัลเลกรี พายูเวนตุสคว้าดับเบิ้ลแชมป์มา 3 ฤดูกาลติดต่อกัน และฤดูกาลนี้มีโอกาสที่เขาจะสามารถทำได้เป็นฤดูกาลที่ 4 นอกจากนี้เขายังสามารถทำได้ดีกว่าคอนเต้ ในเวทียุโรป ที่พาม้าลายเข้ารอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก 2 ครั้งในรอบ 4 ปี แม้ว่าจะอกหักในรอบชิงชนะเลิศก็ตาม
มองการเปลี่ยนแปลงคือการยกระดับทีม
อัลเลกรี รับมรดกทีมมาจากคอนเต้ ในปีแรกที่เขาเข้ามารับงาน เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงทีมอะไรมากมาย แต่เขาเริ่มต้นผ่าตัดทีมในปี 2015 เขาดึงผู้เล่นสายเลือดใหม่อย่าง พอล ป็อกบา และอัลวาโร่ โมราต้า เข้ามาทดแทนการอำลาทีมไปของ อันเดรีย ปิร์โล่, อาร์ตูโร่ วิดัล และคาร์ลอส เตเบซ
ในปี 2016 ทีมต้องเสียทั้ง พอล ป็อกบา และโมราต้าออกไป ซัมเมอร์ปีก่อนเสียทั้้ง เลโอนาร์โด้ โบนุสซี่ และดานี่ อัลเวส อย่างไรก็ตามยูเวนตุสก็ยังคงแข็งแกร่งขึ้น ระบบการเล่นของทีมมีการปรับเปลี่ยน และนักเตะใหม่ๆ อาทิ อเล็กซ์ ซานโดร, เปาโล่ ดิบาล่า และกอนซาโล่ อิกวาอิน นักเตะใหม่ที่อัลเลกรีดึงเข้ามา ต่างก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
เขาไม่หวั่นเกรงกับการเปลี่ยนแปลง เขากลับมองว่ามันเป็นโอกาสที่ปรับปรุงทีมให้ดีขึ้น นอกจากนี้เขายังกล้าที่จะตัดสินใจในสิ่งที่ยากๆ อย่างเช่น ตอนที่คุมมิลาน กับการปล่อยนักเตะตัวเก๋าระดับบิ๊กเนมอย่าง ฟิลิปโป้ อินซากี้ และเจนนาโร่ กัตตูโซ่ ออกจากทีม บ้างก็แขวนสตั๊ด
จอมแท็กติกพาทีมพลิกชนะได้เสมอ
อัลเลกรี ให้คำนิยามตัวเองว่าเป็น "ผู้จัดการทีมตามธรรมชาติ" มากกว่าการเป็น "ผู้จัดการทีมที่ถูกผลิตจากโรงงาน" ในอีกด้านเขาเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง มากกว่าการใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการศึกษาจากวีดีโอ หรือการเรียนรู้จากการวิเคราะห์ มันอาจจะไม่ใช่แนวทางตามปกติของฟุตบอลสมัยใหม่ แต่ไม่มีข้อสงสัยว่ามันประสบความสำเร็จกับตัวเขาเอง
มีเกมส์ใหญ่ที่น่าผิดหวัง กับการแพ้ในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกให้บาร์เซโลน่า และเรอัล มาดริล แต่แท็กติกของอัลเลกรี มักจะถูกต้องมากกว่าที่จะผิด และถ้าหากมีบางอย่างที่ไม่เป็นตามที่คิดไว้ในสนาม เขาสามารถที่จะปรับเปลี่ยน และพาทีมกลับมาพลิกสถานการณ์ได้อยู่เสมอ
เกมส์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกรอบ 16 ทีมสุดท้ายในการพบกับท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด จากเกมส์แรกที่เสมอในบ้านตัวเองมา 2-2 และต้องมาตามหลังจากประตูของ ซอน เฮือง มิน แต่อัลเลกรีก็แก้เกมส์จนพลิกชนะในครึ่งเวลาหลัง
ควัดโว อซาโมอาห์ ถูกเปลี่ยนลงมาแทนแบลส มาตุยดี และสเตฟาน ลิคท์สไตเนอร์ ลงมาแทนเบนาเตีย และเปลี่ยนจากระบบหลัง 3 มาใช้ระบบ 4-3-3 การปรับเปลี่ยนดังกล่าว สร้างความสับสนให้กับท็อตแน่ม และพวกเขาก็ต้องมาเสียสองประตูในครึ่งเวลาหลัง
ทีมของอัลเลกรี อาจจะไม่ได้ดูสนุกเสมอไป แต่จากคำพูดของ "พระเจ้า" ซลาดัน อิบราฮิโมวิช ที่เคยทำงานกับเขาที่มิลานบอกว่า "เขารู้ว่าจะต้องทำยังไงถ้าต้องการที่จะชนะ"
ดึงศักยภาพของนักเตะออกมาอย่างเต็มที่:
เมื่อปีที่แล้ว อัลเลกรีเคยให้สัมภาษณ์ถึงการยกระดับฝีเท้าของนักเตะ เขาพูดว่า: "ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้จัดการทีม ผมคิดว่าตัวเองเป็นโค้ชเยาวชน ผมทำแบบนี้ เพราะผมรักที่จะสอน มันเป็นเรื่องที่สนุกในชีวิตของผม ผมชอบที่ทำให้นักเตะเก่งขึ้นและฉลาดขึ้น"
อาร์เซน่อลมีทีมที่อายุยังน้อย และเป็นทีมที่มักจะเล่นผิดพลาดง่ายจนเสียประตู ขาดวินัยในการเล่น และอ่อนด้านแท็กติก แต่อัลเลกรีเป็นโค้ชที่สามารถพัฒนานักเตะเหล่านั้นได้ทั้งบุคคล และการเล่นเป็นทีม
ส่วนเรื่องเกมส์รับ อัลเลกรี มีสถิติที่ดีมาก ยูเวนตุสเป็นทีมที่มีสถิติเกมส์รับดีที่สุดในกัลโช่ ซีรีย์อาตลอดระยะเวลา 4 ปีที่เขาคุมทีม เช่นเดียวกับสมัยที่คุมรอสโซเนรี่ เขาก็ทำให้เกมส์รับของทีมพัฒนามากขึ้น เสียประตูน้อยลง