หลังจากปิดตลาดซื้อขายนักเตะ ผมได้กลั่นกรองความคิด และคิดว่ามีหลายมุมมองที่อยากจะถ่ายทอดเพื่อแลกเปลี่ยนกับเพื่อนที่อาจจะคิดเหมือนหรือไม่เหมือนกัน
อย่างที่ทราบกันคือตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ที่ผ่านมา เวงเกอร์คว้านักเตะมา 2 คน คือเซอัด โคลาชินัค และ อเล็กซองแดร์ ลากาแซต ในขณะที่ขายนักเตะออกไป 11 คน รวมถึงปล่อยยืมตัวอีก 9 คน รวมแล้วได้กำไรไม่ต่ำกว่า 21 ล้านปอนด์
ย้อนกลับไปหาความสำเร็จในพรีเมียร์ลีกครั้งล่าสุดคือ ฤดูกาล 2003-2004 ราวๆ 13 ปีก่อนซึ่งถือว่านานมากกับสโมสรที่เคยถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญในการแย่งแชมป์ลีก ที่เหลือคือได้รองแชมป์ 2 ครั้ง อันดับสาม 4 ครั้ง อันดับสี่ 6 ครั้ง และปีล่าสุดที่แหกโค้งจบอันดับ 5
ผมตั้งคำถามอยู่เสมอว่าเกิดอะไรขึ้นกับสโมสรที่เรารัก และตามเชียร์อยู่ตลอด ซึ่งในช่วงแรกๆก็เจอกับวาทกรรม "เราต้องขายนักเตะใช้หนี้สร้างสนาม" โอเค แรกๆก็พอเข้าใจได้ว่า หลังจากใช้หนี้หมด เราน่าจะกลับมาบี้คู่แข่งคว้าแชมป์ลีกกลับมาได้บ้าง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือทุกอย่างยังเหมือนเดิมคือแทบไม่มีปีไหน ที่อาร์เซนอลจะสามารถไต่ระดับไปลุ้นแชมป์กับคู่แข่งได้จนถึงสัปดาห์ท้ายๆของการแข่งขัน
สิ่งที่เห็นอยู่ประจำคือ ราวๆต้นปีอาร์เซนอลจะตกรอบคาร์ลิ่งคัพ และยูฟ่า แชมป์เปียนส์ลีก ตามด้วยการหมดลุ้นแชมป์เนื่องจากโดนจ่าฝูงทิ้งห่างขาดลอย เป็นเกือบทุกปีอย่างกับมีคนเขียนบทเอาไว้แบบนั้น
แต่ปํญหาหลักๆของอาร์เซนอล น่าจะเกิดจากตัวละครหลักของอาร์เซนอลคนหนึ่ง ซึ่งแฟนอาร์เซนอลจะต้องทนทุกข์ทรมาณไปอีกนานถ้าเขายังไม่ยอมไปไหน ชายคนนั้นชื่อ
"อาร์แซน เวงเกอร์"
มีคนพูดกันว่า อาร์แซน เวงเกอร์ นี่หละ คนที่รักอาร์เซนอลเทียบเท่ากับชีวิตของตัวเอง คนๆนี้ทำทุกอย่างเพื่อสโมสร
ซื้อขายนักเตะเท่าที่ทำให้สโมสรไม่มีปัญหาทางการเงิน ปฏิเสธข้อเสนอจาก ทีมชาติอังกฤษ รีลมาดริด แมนยูฯ และปารีส แซงต์ แชร์กแมงทีมยักษ์ใหญ่เพื่อจะคุมอาร์เซนอลต่อไป
ความประทับใจตั้งแต่วันที่เวงเกอร์สร้างทีมแบบวันทัช จนถึงเรื่องราวต่างๆที่ผุดขึ้นมาว่า ผู้ชายคนนี้ทำทุกอย่างเพื่อสโมสร
แฟนบอลตัวเล็กๆคนนึงเชื่อเต็มหัวใจโดยไม่เคยตั้งข้อสงสัยต่อเวงเกอร์ว่าทำไมที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะยังมีความหวังเล็กๆว่า อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ที่รักสโมสรจะต้องพาทีมกลับมายืนในจุดที่ควรอยู่คือพาทีมลุ้นแชมป์ได้ในทุกๆฤดูกาล
แต่เวลาพิสูจน์ทุกอย่าง!!! ฤดูกาลก่อนเวงเกอร์สร้างผลกระทบให้กับทีมจังๆ ด้วยการสร้างความไม่ชัดเจนในอนาคตของตัวเองด้วยการไม่ต่อสัญญาหรือประกาศไม่ต่อสัญญา ลากยาวจนถึงปิดฤดูกาล
โดยก่อนหน้านี้แย้มๆว่าเดือนมีนาคมจะเปิดเผยการตัดสินใจ แต่ก็ใช้วาทศิลป์เลื่อนการตัดสินใจไปจนถึงช่วงปิดฤดูกาล ก่อนจะต่อสัญญาออกไปอีก 2 ปี เจ้าตัวเองก็ยอมรับผลกระทบดังกล่าวหลังจากคว้าแชมป์คอมมิวนิตี้ชิลล์ว่า
“เหตุการณ์ทั้งหลายอาจเกิดมาจากความคลุมเครือของผม นั้นอาจเป็นความผิดพลาดของผมเอง โดยรวมแล้วผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของเรา ทิศทางจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับทีม ในสี่ปีหลังมานี้เรามักจะเริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีในนัดแรกในลีก แต่เรามีการเตรียมทีมอย่างหนักหน่วงเพื่อให้เราพร้อม”
อาจจะเรียกว่าผมเพิ่งจะตาสว่างว่า คำพูดของคนๆนี้เชื่อถือไม่ได้เลย
ดูเหมือนว่าหลังเวงเกอร์จากไปหรือแกอาจจะอยู่ต่อจนกว่าจะตายไปข้างนึง อาร์เซนอลแทบจะไม่เหลือนักเตะฝีมือดีไว้ให้ผู้จัดการทีมคนต่อไปใช้งาน
ในขณะที่นักเตะฝีมือดีก็ปฏิเสธจะย้ายมาร่วมทีม โทมัส เลอมาร์ แม้กระทั่งจอนนี่ อีแวนส์ขออยู่เวสต์บรอมวิชฯต่อแทนที่จะย้ายมาอาร์เซนอล
จริงๆยังมีอีกหลายคำพูดที่เวงเกอร์พูดออกมาแล้วทำอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งหากจะรวบรวมมาหมดบทความก็อาจจะยาวเกินไป
5. "ผมจะไม่เกษียณ เกษียณเป็นเรื่องของคนอายุน้อย สำหรับคนแก่ เกษียณก็เหมือนตาย" และนี่คือข้อสรุปของผู้ชายที่ชื่อเวงเกอร์ ชายชราที่รักตัวเอง เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนกับผู้ชายอีกคนคือ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือที่พาทีมปีศาจแดงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย เฟอร์กี้เลือกที่จะวางมือเนื่องจากยอมรับว่าตัวเองไม่สามารถพาทีมไปต่อสู้กับทีมชั้นนำของยุโรป ทั้งๆที่เจ้าตัวพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีก 2 สมัย โดยเฟอร์กี้มองประโยชน์สูงสุดของสโมสรด้วยการยอมวางมือเพื่อหากุนซืออายุน้อยกว่าที่สามารถพาทีมไปท้าชิงกับทีมยักษ์ใหญ่ในเกมยุโรป ในขณะที่อาร์เซนอลมองแค่ในอังกฤษยังไม่รอด
แต่ก่อนผมเคยเชื่อว่าเวงเกอร์รักอาร์เซนอล แต่ตอนนี้ผมกลับมองว่าชายชราคนนี้รักตัวเองมากที่สุด
เวงเกอร์กลัวการโดนไล่ออก ทำให้ไม่ย้ายไปคุมทีมอื่นนอกจากอาร์เซนอล เพราะผู้บริหารอาร์เซนอลคงไม่กล้าไล่ผู้จัดการทีมที่มีอำนาจเต็มมือออกจนกว่าเจ้าตัวจะวางมือหรือไม่ต่อสัญญา
สิ่งที่ทำทั้งหมดคือการทำกำไรให้กับสโมสรเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง แต่ไม่ใช่เพื่อความสำเร็จในระยะยาวของอาร์เซนอลอย่างแท้จริง บอร์ดบริหารชุดปัจจุบันพอใจกับกำไร ดังนั้นอนาคตของเวงเกอร์จึงไม่มีปัญหาสำหรับบอร์ด
เวงเกอร์ทำตัวเป็นเกาะป้องกันกระสุนแทนบอร์ดบริหาร ซึ่งทำให้กลาซิดิซรวมถึงโครเอนเก้ลอยตัวพอสมควรเพราะแฟนบอลรุมด่าเวงเกอร์มากกว่าจะโจมตีกลาซิดิซและโครเอนเก้ที่ยังปล่อยให้เวงเกอร์คุมทีมจนถึงปัจจุุบัน
การไม่ยอมรับความผิดพลาดในการวางแผนซื้อตัวของตัวเอง ตั้งแต่ซื้อลูคัส เปเรซ มาเพื่อกลบกระแสแฟนบอล การซื้อชโกรดาน มุสตาฟี่แทนที่จะเป็นเป้นหมายหลักของตัวเองคือมาโนลาส หลังจากนั้น สโมสรพยายามปล่อยตัวนักเตะ 2 รายนี้ออกไปทั้งๆที่ย้ายมาอยู่กับทีมได้เพียง 1 ปี
อนาคตของอาร์เซนอลในปัจจุบันยังคงไร้ความชัดเจน กับการจัดการความรู้สึกของนักเตะที่ต้องการย้ายทีมแต่ไม่ได้ย้าย
การฟื้นฟูสภาพจิตใจของนักเตะหลังโดนลิเวอร์พูลรัวยับแบบบกลับบ้านไม่ถูก
การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับทีมใหญ่ๆหลังจากทีมไม่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมานาน จนแฟนบอลรุ่นใหม่ๆของอาร์เซนอลมีน้อยมากๆเทียบกับทีมอื่น ทำให้รายได้จากการโฆษณาเทียบกับทีมใหญ่ทีมอื่นๆไม่ติด
บางทีอาร์เซนอลอาจจะกลับไปอยู่ในจุดที่เคยอยู่คือเป็นทีมกลางตารางก่อนที่เวงเกอร์จะเข้ามา และเวลาของเวงเกอร์ที่ไม่รู้จะหมดเมื่อไหร่
ความรู้สึกที่เคยมีให้ และตอนนี้หายไปคือ ความรักที่มีให้กับเวงเกอร์ ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับ 4 คำสั้นๆที่จะฝากไว้กับผู้ชายที่เราเคยศรัทธา หมดเวลาของของคุณแล้ว 'เวง เกอร์ ออก ไป"