Jump to content



Photo

ลูกกลมๆมีลมอยู่ข้างในมักถูกเตะอยู่ร่ำไป.....คุณรู้จักมันดีแค่ไหน?


  • Please log in to reply

#1
convoy

Posted 10 November 2017 - 11:59 AM

convoy

    Advanced Member

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,997 posts
ลูกกลมๆมีลมอยู่ข้างใน มันก็ไอ้ลูกฟุตบอลนั่นแหละ ใครที่หนวยก็รู้จัก แต่มันมีความหมายเท่านั้นจริงหรือ และที่ว่ารู้จักน่ะ แค่ไหน อย่างไร
 
ลูกฟุตบอลที่ใช้ในสนามแข่งได้ถูกกำหนดให้มีขนาดเส้นรอบวงระหว่าง 27-28 นิ้ว และมีน้ำหนักไม่เกิน 16 ออนซ์ มาตั้งแต่ปี 1872 ซึ่งมาตรฐานนี้
ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน....จาก “ลูกฟุตบอล” ที่เคยเป็นเพียงส่วนประกอบในการแข่งขัน ได้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นอุปกรณ์ช่วยเสริม
สร้างสมรรถนะของนักเตะเพื่อนำทีมไปสู่ชัยชนะ จากสีน้ำตาลกลายเป็นหลากสีสัน หลากลวดลาย หลากเทคโนโลยี่ ที่ประดังเข้าสู้พื้นผิวทรงกลม 
จนไม่น่าเตะแต่กลับน่าเก็บน่าสะสมเป็นคอลเล็คชั่น ประมาณนั้น
 
ฟุตบอลลีกอังกฤษที่เริ่มต้นเมื่อปี 1888 ทำให้เกิดการผลิตลูกฟุตบอลในเชิงอุตสาหกรรมขึ้น ฟุตบอลแต่ละลูกนั้นยังคงต้องอาศัยทักษะเฉพาะทาง
ในการตัดและเย็บหนังแท้ ให้ห่อหุ้มไปตามรูปทรงกลมของยางวัลดาไนซ์ที่อยู่ภายใน แต่การเปลี่ยนแปลงจากสีน้ำตาลดั้งเดิมไปสู่สีอื่น คือเหตุผล
ทางด้านธุรกิจโดยแท้ ในปี 1970 ที่เม็กซิโกเป็นเจ้าภาพและมีการถ่ายทอดสด “เวิล์ดคัพ” ไปเกือบทั่วโลก โทรทัศน์สมัยนั้นมีแต่สีขาว-ดำ การที่จะ
ให้เห็นลูกบอลได้ง่ายก็ต้องทำให้มันเป็นลายขาว-ดำซะเลยหมดเรื่อง
 
ปีนั้นเป็นครั้งแรกที่ “อาดิดาส”บริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาค่ายยักษ์ใหญ่ ได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตลูกบอลอย่างเป็นทางการของฟุตบอลโลก และผูกขาด
สิทธิ์นี้มาจนปัจจุบัน และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เปิดศักราชใหม่เกี่ยวกับโฉมหน้าลูกบอลโดยใช้วัตถุดิบแบบใหม่ ไม่ใช่ลูกยางแบบเก่า แต่เป็นหนัง
เย็บติดกัน 32 ชิ้น แบ่งเป็นสีดำ 5 เหลี่ยม 12 ชิ้น และสีขาวหกเหลี่ยมอีก 20 ชิ้น มีโลโก้ อาดิดาส สีดำคิดอยู่เวลาลูกบอลกลิ้งมันจะได้เห็นชัดเจนดี 
เป็นการโฆษณาแบรนด์ “อาดิดาส”ไปในตัวด้วยนั่นเอง 
 
ลูกบอลที่ใช้ในการแข่งขันถูกตั้งชื่อว่า Adidas Telstar ซึ่งย่อมาจากคำว่า Star of television...หนังสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติกันน้ำเข้ามาแทนที่หนัง
แท้ซึ่งมีข้อเสียในเรื่องการดูดซับน้ำทำให้ลูกฟุตบอลมีน้ำหนักมากขึ้น และธุรกิจก็เข้าครอบงำวงการฟุตบอลอย่างเป็นทางการตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
จนรวบหัวรวบหางเบ็ดเสร็จในปัจจุบัน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลนั้นว่ากันเป็นหลักแสนล้านก็ว่าได้ ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองไปหมด แน่นอน
แม้แต่ลูกฟุตบอลใบเล็กๆก็เป็นอุปกรณ์สำคัญเช่นกัน ไม่มีก็เตะกันไม่ได้ว่างั้น แถมยังทำเงินให้นายทุนอู้ฟู่อูมฟูม
 
ว่ากันว่า....มันเริ่มตั้งแต่เมื่อกองทัพอังกฤษยึดครองปากีสถานในช่วงสงคราม ที่เมืองเซียลคอต ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดปัญจาบอยู่มุมขวาบน
ของปากีสถาน....ทหารอังกฤษกระไทหนึ่งเอาลูกฟุตบอลแตกไปให้ช่างเย็บรองเท้าข้างถนนดูแล้วถามว่าซ่อมได้หรือไม่ ช่างพลิกดูครู่หนึ่งพยักหน้า
หงึกหงักรับปาก 3วันต่อมาทหารผู้นั้นกลับไปรับลูกฟุตบอล สิ่งที่ได้นอกจากฟุตบอลลูกเก่าที่ซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วยังมีลูกใหม่ที่เย็บอย่างปราณีต
อันแสดงถึงทักษะความชำนาญในเชิงช่างอีกด้วย และนั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์
 
ถึงแม้ลูกฟุตบอลในปัจจุุบันจะผลิตมาจากทั้งเครื่องจักรและมือ แต่สำหรับตัวท้อปของแบรนด์ดังๆที่ใช้ในทัวร์นาเม้นท์สำคัญ ก็ยังคงเป็นลูกฟุตบอล
ที่ผลิตด้วยมือ นัยว่ามันมีคลาสและให้สัมผัสที่ดีเริ่ดประเสิรฐศรีกว่าลูกฟุตบอลที่ผลิตด้วยเครื่องจักรเป็นไหนๆ และแน่นอน ย่อมจ้องเป็นผลผลิตจาก
เมืองเชียลคอต ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองหลวงแห่งลูกฟุตบอลอย่างไม่เป็นทางการนั่นเอง...โดยมันเย็บจากมือของแรงงานยากไร้ ชาย หญิง
และเด็ก ทั้งในเมืองและบ้านนอก ที่ได้รับค่าแรงโดยเฉลี่ยราว35เซ็นต์ต่อ1ลูกเท่านั้น
 
ลูกฟุตบอลจากเมืองจีนส่วนใหญ่จะผลิตขึ้นโดยใช้เครื่องจักร แต่ยังมีบางบริษัทว่าจ้างแรงงานท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้หญิงและเด็กให้มาเย็บลูกบอล ขณะที่
ปากีสถานและอินเดียยังคงเย็บลูกฟุตบอลด้วยมือกว่า90%  สำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลสำรวจลูกจ้าง 218 คนในบริษัทที่ปากีสถาน ซึ่งรับจ้าง
ผลิตลูกฟุตบอลและผลิตภัณฑ์กีฬาให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่างไนกี้และอาดิดาสว่า กว่าครึ่งหนึ่งของพนักงานจำนวนนี้ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าราย
ได้ขั้นต่ำต่อเดือนของปากีสถานที่ 6,000 รูปี (70 ดอลลาร์) 
 
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลปากีสถานได้ปรับขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำเป็น 7,000 รูปี เพื่อให้ลูกจ้างเหล่านี้สามารถหารายได้เลี้ยงดู
ครอบครัวที่มีสมาชิกโดยเฉลี่ย7 คน ขณะที่ธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงก์คาดการณ์ว่า 25% ของชาวปากีสถาน 180 ล้านคนมีเงินใช้จ่ายวันหนึ่งไม่ถึง
1 ดอลลาร์  บริษัทจ้างแรงงานเด็กเพราะจ่ายค่าแรงต่ำกว่าผู้ใหญ่ พูดง่ายๆก็คือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้ใหญ่ตกงานพอเด็กชุดนี้โตไปก็ไล่ออกซะ
จ้างชุดใหม่ เงินเดือนก็กดให้ต่ำๆเข้าไว้นั่นแหละ ในขณะที่นักเตะระดับโลกสัมผัสลูกบอลครั้งหนึ่งได้เงินเป็นหมื่นๆบาท 
 
ทั้งๆที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรด้านแรงงานและการพัฒนาเพื่อยุติการใช้แรงงานเด็ก แต่อาดิดาสและไนกี้สองบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการกีฬาโลก
ก็เหมือนปากว่าตาขยิบนั่นแหละ เพราะว่าจ้างผู้ผลิตจากหลายประเทศที่ขึ้นชื่อในการใช้แรงงานเด็กและผู้หญิงเพื่อลดต้นทุน ให้ผลิตลูกฟุตบอลป้อน
ตลาดโลกตามเทคโนโลยี่ ลวดลายและสีสันทึ่คิดค้นขึ้น ซึ่งทั้งหมดก็เป็นประเทศที่มีค่าแรงต่ำอย่างเช่น อินเดีย บังคลาเทศ ไทย จีน แต่อันดับ1ก็คือ
ปากีสถาน ซึ่งผลิตลูกฟุตบอลชั้นเยี่ยมทำด้วยมือกว่า80%ของผลผลิตตลาดโลกทีเดียว
 
และอย่าไปว่าอาดิแดสกับไนกี้เลย แม้แต่ไทยแลนด์แดนสยามก็ยังใช้บริการจากเซียลคอต ทั้งแบรนด์ Grand Sport และ GS ก็เอาด้วยไม่มีละเว้น 
ลูกฟุตบอลรุ่นเด็ดๆที่มีชื่อผลิตจากที่นี่เป็นหลักมะใช่ฝีมือช่างไทยหรอก แต่เมื่อถึงตอนส่งออกโดยบริษัทคนไทย กลับได้รับการยกย่องว่าเป็นสินค้า
ไทยคุณภาพสูงและโนว์ฮาวในการผลิตการตลาดก็อยู่กับประเทศเราเต็มๆ..นั่นเป็นการรับประกันถึงคุณภาพการส่งผ่านและถ่ายทอดฝีมือการตัดเย็บ
ลูกฟุตบอลรุ่นต่อรุ่นมาเป็นเวลานานของชาวเมืองเชียลคอต ที่ซึ่งไม่ใช่ใครๆจะเรียนรู้ได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้นจริงๆ
 
ป.ล. ขอแถมรายชื่อลูกฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลล์โลก ที่เริ่มตั้งอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ เม็กซิโก ปี1970 และยังมีรูปลูกฟุตบอลที่ใช้ใน
การแข่งขันฟุตบอลโลกตั้งแต่ครั้งแรกที่ อุรุกวัย ปี1930 จนถึงครั้งล่าสุด มาฝากกัน....เพือ่ทัศนาแก้รำคาญ ระหว่างรอเชือดไก่ให้ผีดูวันเสาร์หน้า หุหุ
 
        
1970 : Adidas Telstar
เป็นครั้งแรกที่ “อาดิดาส” บริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาค่ายยักษ์ใหญ่ ได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตลูกบอลอย่างเป็นทางการของฟุตบอลโลก
และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เปิดศักราชใหม่เกี่ยวกับโฉมหน้าลูกบอลโดยใช้วัตถุดิบแบบใหม่ ไม่ใช่ลูกยางแบบเก่า แต่เป็นหนังเย็บ
ติดกัน 32 ชิ้น แบ่งเป็นสีดำที่เป็น 5 เหลี่ยม 12 ชิ้น และ สีขาวหกเหลี่ยมอีก 20 ชิ้น
สำหรับสาเหตุที่ใช้แต่หนังสีขาว-ดำนั้น เป็นเพราะว่าศึก “เวิลด์ คัพ 1970” ที่เม็กซิโก เป็นปีที่มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกไป
ทั่วโลกเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ก็มีการถ่าย เก็บไว้ แต่ไม่ได้ถ่ายทอดสด อย่างที่ทราบกันว่าโทรทัศน์สมัยนั้นมีแต่สีขาว-ดำ การที่จะให้เห็น
ลูกบอลได้ง่ายก็ต้องทำให้มันเป็นลายขาว-ดำซะเลย เวลาบอลกลิ้งจะเห็นชัดเจนดี เป็นการโฆษณาแบรนด์ “อาดิดาส” ไปในตัวด้วย
จึงกลายเป็นที่มาของการเย็บหนังให้เป็นลูกบอลทรงกลม และชื่อ “Telstar”ก็ผันมาจาก “Star of Television” แหม่
 
1974 : Adidas Telstar Durlast 
ฟุตบอลโลกปี 1974 จัดที่เยอรมันตะวันตก ลูกฟุตบอลที่ใช้ก็เหมือนในฟุตบอลโลกในปี 1970 เพียงแต่มีการปรับปรุงรูปโฉม คือจากข้อความ 
สีทองเปลี่ยนเป็นสีดำ ข้อความ 1970 เปลี่ยนเป็น 1974 ลูกบอลมีสีขาวล้วน กับ ขาวสลับดำ งวสดุและเทคโนโลยีการผลิตเหมือนกันทุกประการ 
สีขาวล้วนนี้มีชื่อว่า Adidas Chileเพื่อเป็นการรำลึกถึงลูกฟุตบอลสีขาวล้วนที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1962 ที่ประเทศชิลี
 
1978 : Adidas Tango 
Tango เป็นชื่อจังหวะเต้นรำที่ลือลั่นไปทั่วโลกของประเทศอาร์เจนติน่า โดย อาดิดาสได้ออกแบบลูกฟุตบอลนี้เพื่อให้เป็นมาตรฐาน
สำหรับลูกฟุตบอลไปอีก 20 ปีข้างหน้า และมันก็ยังเป็นลูกฟุตบอลที่แพงที่สุดในโลกในสมัยนั้น ด้วยราคาลูกละ 50 ปอนด์รวมภาษี
 
1982 : Adidas Tango Espana
สเปน ชาติเจ้าภาพ ถือโอกาสเรียกมันว่า “Adidas Tango Espana” เพื่อประกาศศักดาตัวเองทั้งที่ลวดลายไม่ได้ผิดแผกไป
จากแทงโก้ตัวเดิมเมื่อ 4 ปีก่อนมากมายนัก อย่างไรก็ตาม คุณภาพของหนังที่ใช้ผลิตนั้นถือว่าเยี่ยมกว่ามาก ใช้เทคโนโลยีช่วยให้หนังมีการดูดซับ
น้ำน้อยลงกว่าเดิมเมื่อเทียบกับรุ่นเก่าเวลาเปียกน้ำ ลูกบอลรุ่นนี้จะยังคงมีน้ำหนักเบา แต่รุ่นก่อนหน้าจะหนักซึ่งถ้าเตะแรงๆ อาจถึงขั้นขาหักได้ง่ะ
 
1986 : Adidas Azteca
เม็กซิโก ได้เป็นเจ้าภาพหนสองแบบฉุกละหุกพอสมควรภายหลังจาก โคลอมเบีย แม่งานที่ถูกเลือกในตอนแรก มีปัญหาทางด้านการเงินจนต้อง
ถอนตัวเพราะฉะนั้นลูกฟุตบอลเลยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก เพียงแต่เปลี่ยนวัตถุผลิตจากหนังแท้มาเป็นหนังสังเคราะห์เท่านั้น
ที่พิเศษคือ มีการนำลวดลายศิลปะแบบ “แอซเทค”ซึ่งเป็นชนเผ่าบรรพบุรุษของชาวเม็กซิกันมาใช้มันจึงถูกเรียกว่า “Adidas Azteca”
 
1990 : Adidas Etrusco Unico
มาถึงคิวอิตาลีได้เป็นเจ้าภาพหนที่สอง พร้อมด้วยดีไซน์ลูกบอลให้โฉบเฉี่ยวไฉไลยิ่งขึ้นส่วนชื่อนั้นมีที่มาจากงานศิลปะของอิตาลีที่ชื่อว่า Etruscans 
ซึ่งจะเห็นว่ามีหัวสิงโต 3 หัว อยู่ในลายนั้นอยู่ด้วย...อีกทั้งลูกบอลรุ่นนี้ยังเป็นการปฎิวัติลูกฟุตบอลอีกครั้ง มีการเพิ่มชั้นของโพลียูริเทนเข้าไปด้วย 
ส่งผลให้มีคุณสมบัติสามารถกันน้ำได้ 100% (ถ้าบอลไม่รั่วซะก่อนนะ) 
 
1994 : Adidas Questra
สหรัฐอเมริกา ชาติที่ถูกค่อนขอดว่าไม่ค่อยประสีประสาเรื่องลูกหนังในเวลานั้น ได้รับเลือกให้จัดมหกรรมลูกหนังโลกเป็นครั้งแรก พร้อมกับเปิดตัว
ลูกบอลนวัตกรรมใหม่ “Adidas Questra” ที่มาจาก “Quest for the star” เพราะมันถูกผลิตขึ้นด้วย
เทคโนโลยีทางด้านอวกาศนั่นคือมีการเพิ่มชั้นของโพลียูริเทนที่ด้านนอก ทำให้น้ำหนักเบาขึ้น กลายเป็นต้นแบบลูกบอลรุ่นใหม่นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ส่งผลให้กองหน้าควบคุมบอลได้ง่ายกว่าเดิม ที่สำคัญเวลายิงก็ทรงพลังมากขึ้นแต่บรรดาผู้รักษาประตูกลับบ่นว่า มันคือตัวหายนะทำลายเกมชัดๆ
 
1998 : Tricolore
ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ และธงชาติของพวกเขามีสามสี(แดง-ขาว-น้ำเงิน) ลูกบอลตัวนี้เลยถูกเรียกว่า “Tricolore” (สามสี)ให้สอดคล้องกัน
อีกทั้งยังได้การบันทึกเป็นครั้งแรก ที่ลายของฟุตบอลไม่ได้มีแต่สีขาว-ดำ รวมถึงยังเป็นครั้งแรกที่มีการถักใยโพลียูริเทนลงไปในชั้นของหนังเทียม 
ทำให้ถ้ามองดูดีๆ มันจะลายน้ำประดับประดาอยู่ด้วย  สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เจ้าลูกบอล “ตริโกลอร์”ยังช่วยผลักดันให้ฝรั่งเศสฟาดแชมป์โลกได้ด้วย
 
2002 : Fevernova
ครั้งแรกบนแผ่นดินเอเชียในฐานะเจ้าภาพจัดศึกลูกหนังรายการใหญ่ด้วยการจับมือร่วมกันของญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ทั้งทั้งที่ ไม่ค่อยจะถูกกันนักหรอก
แน่นอนว่าดีไซน์ของ “Fevernova” ย่อมดูโดดเด่นกว่าที่เคยเพราะขึ้นชื่อว่ามาจากญี่ปุ่น สีสันลวดลายต้องสดใสไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว
จึงไม่แปลกที่บางคนถึงกับบอกว่ามันคล้ายกับสไตล์ของญี่ปุ่นมากกว่าเกาหลี....ยิ่งไปกว่านั้น “ฟีเวอร์โนวา” ยังถูกออกแบบน้ำหนักให้เคลื่อนที่
ไปได้อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น ด้วยขนาดที่ใหญ่และเบา แต่มีคุณสมบัติเหมือนลูกบอลลูนเวลาโดนเตะแรงๆ(เค้าว่ากันยังงั้น)
 
2006 : Teamgeist
เป็นลูกฟุตบอลที่สวยงามกลมกลึงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อว่า “ทีมไกสต์” (Teamgeist) มีความหมายในภาษาเยอรมันว่า “ทีมสปิริต”
หรืออธิบายง่ายๆ ก็คือ จิตวิญญาณแห่งความเป็นทีม เพื่อแสดงการยกย่องต่อความยิ่งใหญ่ของฟุตบอลเยอรมนี ยึดถือสไตล์การเล่นแบบเป็นทีม
มากกว่าการพึ่งพิงดาราคนใดคนหนึ่งมาโดยตลอด...ลูกบอลรุ่นนี้ลดจำนวนชิ้นของวัสดุที่เอามาใช้เย็บทำลูกบอล จากปกติที่เป็น 5 เหลี่ยม 
กับ 6 เหลี่ยม รวมกัน 32 ชิ้น เป็นมาใช้ทั้งหมดแค่ 14 ชิ้น...การลดชิ้นส่วนวัสดุลงไปนี้ ทำให้มีเส้นรอยต่อน้อยลงจนเป็น “ทรงกลม”มากกว่าลูก
ฟุตบอลแบบเดิมๆ ส่งผลให้มันควบคุมได้เยี่ยมยอดขึ้น และที่สำคัญก็คือลูกบอลรุ่นนี้ยังถือเป็นอีกครั้งที่ความเร็วของมันสร้างปัญหาให้กับผู้รักษาประตู 
เพราะถูกออกแบบให้ส่ายง่ายมาก หากเผลอนิดเดียวมีสิทธิ์เสียมวย ในนัดชิงชนะเลิศอิตาลีกับฝรั่งเศส ยังมีการทำลูกบอลสีทองขึ้นมาเป็นพิเศษด้วย
 
2010 : Jabulani(to celebrate)
หมายถึง “การเฉลิมฉลอง” (to celebrate) ในภาษาซูลู ซึ่งเป็น 1 ในภาษาท้องถิ่นแอฟริกาใต้ ว่ากันว่า จาบูลานี่ เป็นลูกบอลที่
ถูกออกแบบให้มีความ “กลม” ที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียวด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ล่าสุด ผ่านการทดสอบมาแล้วกับนักเตะระดับโลก
จากทีมชั้นนำต่างๆ โดยมีจุดเด่นสำคัญอยู่ที่ “Grip ‘n’ Groove” หรือส่วนที่เป็นเกล็ดและร่องบนผิวลูกบอล ทำให้มีความเที่ยงตรง
แม่นยำมากที่สุดเวลาลอยอยู่บนอากาศ จับบอลได้แน่นอนทุกสภาพอากาศพื้นผิว.....ส่วนวัสดุที่ใช้มีส่วนประกอบที่เป็นโฟม EVA และ TPU 3มิติ 
8 ชิ้นประกอบกันเป็นลูกฟุตบอล ยึดติดด้วยเทคโนโลยี 3D Thermal Bonding อัดด้วยแรงดันความร้อน ทำให้ลูกบอลกลมกลึงไร้รอยเย็บ 
แตกต่างจาก “ทีมไกสต์”ลูกฟุตบอลใน “เวิลด์ คัพ 2006”ที่เยอรมนี ซึ่งมีเพียง 14 ชิ้น แต่ละชิ้นเป็นรูปยาวรี และรูปทรงกลมสม่ำเสมอทุกด้าน
 
2014 : Adidas Brazuca 
เป็นชื่อลูกฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2014 ที่ประเทศบราซิล   คำว่า "บราซูก้า" เป็นคำที่ชาวบราซิลใช้แสดงความภูมิใจในวิถีชีวิตของ
พวกเขาและยังเป็นคำที่ให้ความรู้สึกถึงความสนุกสนาน ซาบซึ้ง และความปรารถนาดีไปพร้อม ๆ กัน
 
2018 : Telstar 18
อาดิดาสเปิดตัวลูกฟุตบอลที่ใช้แข่งขันฟุตบอลโลกปีหน้าที่ประเทศรัสเซียใช้ชื่อว่า “Telstar 18” โดยย้อนยุคกลับไปยังปี1970 เม็กซิโก ซึ่งเป็น
ครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันทางทีวีและลูกฟุตบอลลายขาวดำสุดคลาสสิค แต่ปรับเปลี่ยนลวดลายบางอย่าง กรรมวิธีการผลิตเพื่อให้
มันคงทนและไร้รอยต่อมากกว่าเดิม ทั้งยังเพิ่มส่วนประกอบไฮเทค ซึ่งก็คือการนำชิป NFC ที่สามารถเชื่อมจ่อกับสมาร์ทโฟนได้มาติดไว้ภายใน
ลูกฟุตบอล ถือเป็นการพลิกโฉมหน้าของวงการฟุตบอลทีเดียว
 
 
ดูรูปภาพลูกฟุตบอล คลิก
 
ภาพข่าวเปิดตัวลูกฟุตบอลที่ใช้แข่งขันที่รัสเซียปีหน้า


#2
I AM FREE

Posted 11 November 2017 - 11:30 AM

I AM FREE

    I AM ZER∅ III

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,744 posts
ดีใจนะนะที่ในบอร์ดเรามีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญด้าน(ลูก)ฟุตบอลอยู่บ้าง555 อย่างน้อยๆเราก็ไม่ใช่แฟนบอลกะโหลกกะลาที่สักแต่จะมาคอมเม้นด่าๆๆๆๆอย่างเดียว(กรูคนนึง555) ยังมีคนที่มาให้ความรู้บ้าง(ไม่รู้บ้าง555)ก็ยังดี เป็นกระทู้ที่ให้สาระดีมาก แต่ขอสารภาพตามตรงเลยว่าอ่านไม่หมด555

#3
sbanterng

Posted 14 November 2017 - 09:16 AM

sbanterng

    Advanced Member

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,461 posts

ยาวเกิน ขี้คร้านอ่านอ่ะ...



#4
แกะเทา

Posted 14 November 2017 - 11:40 AM

แกะเทา

    Advanced Member

  • Members
  • PipPipPip
  • 382 posts
อ่านจบครับผม สาระล้วนๆเปลี่ยนบรรยากาศดี ขอบคุณครับ

#5
PoomPmm

Posted 17 November 2017 - 12:30 AM

PoomPmm

    Advanced Member

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,709 posts
  • LocationBangkok

สาระ






0 user(s) are reading this topic

0 members, 0 guests, 0 anonymous users