;?>)
;?>)
ความชาญฉลาดในการเพลส และการจ่ายบอลของ โอเดการ์ด และพิสูจน์ว่าเขาเล่นคู่กับสมิธ โรว์ ได้
By Art de Roché and Mark Carey The Athletic
หลัง มาร์ติน โอเดการ์ด ย้ายมาที่อาร์เซน่อลในเดือนมกราคม มีสื่อหลายสำนักตั้งคำถามที่เกี่ยวโยงกับ เอมิล สมิธ โรว์ เพลย์เมกเกอร์ดาวรุ่งที่กำลังทำผลงานได้ดี ไม่ว่าจะเป็น การมาของโอเดการ์ดจะส่งผลต่อพัฒนาการของสมิธ โรว์หรือไม่? แล้วจะเล่นด้วยกันแบบไหน?
ครึ่งฤดูกาลแรก เขามีปัญหาบาดเจ็บ และไม่ค่อยได้รับโอกาสจากซีเนดีน ซีดาน เลย ซึ่งโอเดการ์ดต้องการเวลาในการปรับตัวในถิ่นเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม รวมถึงเรียกจังหวะการเล่นของตัวเองกลับมา ตอนนี้เขาลงเล่นในเกมส์ลีกไปแล้ว 7 นัด มากเท่ากับที่ลงเล่นให้กับมาดริดซีซั่นนี้ และมีเวลาอยู่ในสนามมากกว่า 150 นาที
เกมส์กับสเปอร์เป็นอย่างที่ดีว่า โอเดการ์ด สามารถเล่นกับสมิธ โรว์ ได้ และถึงแม้ว่าสมิธ โรว์ จะไม่ได้ลงเล่นจากอาการบาดเจ็บ แต่โอเดการ์ดก็ยังสามารถเข้ามาเติมเต็มเรื่องความคิดสร้างสรรค์ของทีมได้ แต่ไม่เพียงแค่มิติด้านสร้างสรรค์ โอเดการ์ดยังสามารถทำได้มากกว่านั้น
นับตั้งแต่อาร์เตต้า ถูกแต่งตั้นในเดือนธันวาคม 2019 มันชัดเจนว่าเขาให้ให้คุณค่ากับลูกทีมที่ทำงานหนักเวลาไม่มีบอล หลังเกมส์กับสเปอร์เขาเอ่ยปากชมความขยันของโอเดการ์ดว่า: "ความขยันของเขามันน่าเหลือเชื่อ เขามีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง และเขาก็มีความสามารถด้วย"
"ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเล่นบอลฉลาด จังหวะเวลาในการวิ่ง เมื่อเขาต้องเข้าเพลสคู่แข่ง ผมประทับใจเขามากๆ และเขามีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม เขามอบบางอย่างให้กับเรา และมันทำให้เราดีกว่าเดิม"
จากคำพูดของอาร์เตต้า เราสามารถเห็นถึงความฉลาดในการเพลสซิ่งของเขาได้ ในช่วงนาทีที่ 15 ที่พบกับสเปอร์เมื่อวันอาทิตย์
จากภาพบน ฮูโก้ ยอริส จ่ายบอลออกมาให้กับ โทบี้ อันเดอร์ไวเรลด์ จะเห็นได้ว่าโอเดการ์ด วิ่งเข้าเพลสซิ่งทันที จากเส้นทางที่เขาวิ่งเข้าไป จะทำให้ผู้เล่นกองหลังต้องถูกบีบให้ออกบอลไปด้านข้าง
อันเดอร์ไวเรลด์ จ่ายบอลออกมาด้านข้างให้กับ เรกีลอน ซึ่งจะมี บูคาโญ ชาคา เข้ามาสนับสนุนในการเพลสซิ่ง
กรานิต ชาก้า ก็เข้ามาร่วมเพลสซิ่ง ซึ่งจะเห็นชาก้าขึ้นมาทำแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ชาก้าขยับจากด้านซ้ายมาทางขวา เหมือนเป็นการ Overload มาทางฝั่งขวาของสนาม เพื่อทำให้สนามมันดูเล็กลงสำหรับเรกีลอน โดยมีชาคาบังทางด้านนอก ชาก้าคุมพื้นที่ตรงกลาง และโอเดการ์ดอยู่ด้านใน ทำให้แบ็คซ้ายของสเปอร์เจอสถานการณ์ลำบาก
เรกีลอน เลือกพยายามที่จะเลี้ยงบอลออกมาวงล้อมเอง แต่โอเดการ์ดอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในเข้าเพลสแย่งบอลกลับมา และจ่ายคืนให้ โธมัส ปาร์เตย์ ที่จ่ายบอลเร็วเข้ากลาง ตรงนั้นมี เอมิล สมิธ โรว์ เติมขึ้น และได้จังหวะสับไกจากนอกกรอบเขตโทษ แต่บอลพุ่งชนคาน
ทางทฤษฏี เมื่อเขาเป็นคนเปิดฉากในการเพลสซิ่ง อาร์เซน่อลจะปรับเปลี่ยนมายืนเป็นแบบ 4-4-2 การเล่นแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เราเคยเห็นมาแล้วทั้งในเกมส์กับเลสเตอร์ และลีดส์ ตอนนี้เสมือนโอเดการ์ดเป็นเสมือนผู้นำในการเพลสซิ่งกับความเข้าใจว่าเมื่อไรที่ต้องเพลส และจังหวะไหนไม่ควร นี่คือสิ่งที่ทำไม อาร์เตต้า ถึงประทับใจในตัวเพลย์เมกเกอร์นอร์วีเจี้ยนรายนี้นัก
นับตั้งแต่โอเดการ์ดย้ายมาเล่นให้อาร์เซน่อล เขาเป็นนักเตะอาร์เซน่อลที่เขาเพลสซิ่งต่อเกมส์มากที่สุดในทีม (21.9 ครั้ง) เพลสซิ่งสำเร็จ 30.0% ขณที่นักเตะที่เพลสซิ่งสำเร็จมากที่สุดคือ โธมัส ปาร์เตย์ 42.0%
เอมิล สมิธ โรว์ ที่โดดเด่นมากในเกมส์กับสเปอร์ เขาคนเดียวสร้างโอกาสทำประตูได้ 4 ครั้งมากที่สุดในสนาม หลังเกมส์เขาให้สัมภาษณ์ว่า อาร์เตต้า ต้องการให้เขาพยายามที่จะยิงประตูให้บ่อยครั้ง หากมีพื้นที่เปิดกว้าง
ขณะที่เรื่องของตำแหน่ง แม้ว่าโอเดการ์ด จะถูกใช้เป็นผู้เล่นหมายเลข 10 มากกว่าสมิธ โรว์ แต่ดูเหมือนว่าโอเดการ์ดจะขยับออกไปทำเกมส์ด้านขวาอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็ถอยลงมาต่ำแบบไม่น่าเชื่อ
อย่างที่เราได้เห็น ในเกมส์ยูโรป้าลีกกับโอลิมเปียกอส โอเดการ์ดจะเข้ามาช่วยเชื่อมเกมส์กับชาคาและเบเยรินอยู่หลายครั้ง เราจะเห็นชาคาขยับเข้าไปในพื้นที่ด้านใน ซึ่งตัวประกอบก็จะขยับตามชาคาไป เปิดพื้นที่ว่างสำหรับเบเยรินในการ Overlap เติมขึ้นมา
จังหวะจบเบเยริน โยนเข้าไปในกรอบเขตโทษ และโอบาเมยองโหม่งบอลไปชนคาน แต่การประสานงานระหว่างทั้ง 3 คนยังไม่ได้ไหลลื่นมากนัก หากมีการเล่นที่เชี่ยวชาญมากกว่านี้ และนักเตะเข้าใจกันมากขึ้น เกมส์รุกทางฝั่งขวาก็จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการโจมตีพื้นที่สุดท้าย ยิ่งหากพิจารณาจากที่ผ่านมา เกมส์รุกทางฝั่งขวาของอาร์เซน่อล จะด้อยกว่าเกมส์รุกอีกข้าง
ในยุคของอาร์เตต้า การสร้างเกมส์รุกของอาร์เซน่อลจะมาจากฝั่งซ้ายเป็นหลัก ในช่วงเริ่มต้น ดาวิด ลุยซ์, ชาก้า, ชาคา และโอบาเมยอง จะเป็นตัวหลักในการขึ้นเกมส์รุก ก่อนที่จะปรับมาเป็น เทียร์นี่ย์, ชาคา และโอบาเมยอง ในระบบ 3-4-3 แม้ในฤดูกาลนี้จะปรับมาเล่นแบ็คโฟร์ แต่เกมส์ทางฝั่งซ้ายก็ยังเป็นยุทธศาสตร์หลักของทีมปืนใหญ่เหมือนเดิม
โอเดการ์ด ดูมีประสิทธิภาพในการยิงประตูมากขึ้นในช่วงสองเกมส์หลังสุด 
ยกตัวอย่างภาพด้านบน วิลเลี่ยน พาบอลไปด้านข้าง ดึงกองหลังคู่แข่งไปกับเขา และจ่ายกลับมาให้ชาก้า ที่แทงบอลทะลุช่องต่อไปให้กับเทียร์นี่ย์ โอบาเมยองพุ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ ผู้เล่นของโอลิมเปียกอสวิ่งตามไปประกบโอบาเมยอง ทำให้โอเดการ์ดมีพื้นที่ว่าง เทียร์นี่ย์จ่าย Cut Back กลับมาให้โอเดการ์ดที่ยืนโล่งอยู่ในกรอบเขตโทษ แต่จังหวะนี้โอเดการ์ดยิงบอลไม่ดีเท่าที่ควร ใกล้เคียงมากๆ กับจังหวะประตูตีเสมอ 1-1 กับสเปอร์ กับรูปแบบการเข้าทำ และตำแหน่งของโอเดการ์ด ซึ่งครั้งนี้เขาไม่พลาด
เราจะเห็น Pattern ในการเคลื่อนที่ของนักเตะอาร์เซน่อลทางฝั่งซ้ายได้ชัดเจน ปีกซ้ายสามารถดึงตัวเองมาเป็นตัวทำเกมส์ ในการประสานกับกองกลาง และแบ็คซ้าย ในรูปแบบ Tri-angle เมื่อสามารถทะลุไปถึงเส้นหลังได้ แบ็คจะมีออปชั่นในการเปิดให้กับกองหน้าตัวเป้าเข้าฮอต หรือจะเลือก Cut Back กลับมาให้โอเดการ์ดเป็นคนเข้าทำ
ครึ่งแรกอาร์เซน่อล จะเล่นงานสเปอร์ด้วย Pattern การโจมตีแบบนี้อยู่หลายครั้ง นอกจากจังหวะที่ตีเสมอ ก่อนหน้านั้นก็มีเทียร์นี่ย์ที่กระชากไปเปิดให้ ลากาแซตต์ ได้เข้าฮอต แต่ยิงผิดเหลี่ยมไปเอง หรืออีกครั้งที่สมิธ โรว์ หลุดไปถึงเส้นหลัง ก่อนตบเข้ามาจะให้ลากาแซตต์ แต่บอลทะลักไปมาถึง เซดริก ซัวเรซ ที่วิ่งมายิงชนเสา
เกมส์กับสเปอร์ สมิธ โรว์ และเทียร์นี่ย์ เป็นคู่ที่มีการประสานงานกันมากที่สุดอันดับสอง (15 ครั้ง) ซึ่งถ้าหากเกมส์ทางฝั่งขวาของอาร์เซน่อล สามารถเคลื่อนที่และประสานกันได้อย่างลงตัว จะทำให้เกมส์รุกของอาร์เซน่อลสมดุล และมีมิติในการเข้าทำที่มากขึ้น และจะทำให้ สมิธ โรว์ ได้อยู่ในตำแหน่งที่มีโอกาสทำประตูได้เช่นเดียวกับโอเดการ์ด
ไม่ใช่ความลับที่ สมิธ โรว์ ต้องการที่จะเล่นในตำแหน่งหมายเลข 10 แต่เกมส์กับสเปอร์ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขาและโอเดการ์ด สามารถที่จะอยู่ในสนามพร้อมกันได้ และต่างทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
สมิธ โรว์ สร้างโอกาส 4 ครั้งในเกมส์นอร์ทลอนดอน ดาร์บี้ จากพื้นที่ด้านข้าง แต่เกมส์ลีดส์ เขาแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเข้ามาขับเคลื่อนเกมส์ตรงกลางได้ แม้ว่าจะเริ่มต้นในตำแหน่งริมเส้นก็ตาม ซึ่งตำแหน่งริมเส้นไม่ใช่บทบาทใหม่อะไร สมัยที่เขาเป็นนักเตะเยาวชน เขาก็ถูกจับมาเล่นริมเส้นเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว
