แฟนบอลของอาร์เซน่อล กลับมามีความหวังกันอีกครั้งภายใต้ยุคใหม่ของ อูไน เอเมรี ที่เขามาแทนที่ อาร์แซน เวนเกอร์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็ยังมีปัญหากับฟอร์มการเล่นในครึ่งเวลาแรกในฤดูกาลนี้
นอกจากอาร์เซน่อล มีเพียงแค่คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ อีกเพียงแค่ทีมเดียว ที่จบ 45 นาทีแรกแล้วไม่เคยขึ้นนำคู่แข่งได้เลย อย่างไรก็ตามมันมีจุดแข็งก็คือ วิธีการแก้เกมส์ของเอเมรี ที่ทำให้อาร์เซน่อล พลิกสถานการณ์กลับมามีคะแนนได้
อย่างไรก็ตามถ้าหากอาร์เซน่อล ต้องการบรรลุเป้าหมายในการกลับไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกอีกครั้ง พวกเขาจำเป็นต้องออกสตาร์ทเกมส์ให้ได้เหมือนลงไปเล่นในครึ่งหลัง นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาร์เซน่อล เริ่มต้นเกมส์ได้ไม่ดี
ความไม่สมดุลใน 11 ตัวจริงที่จัดลงสนาม
ก่อนเข้ามารับงาน เอเมรี ศึกษาผู้เล่นรายบุคคลของอาร์เซน่อล ทำให้เขาเข้าวินในการสัมภาษณ์งานนี้ แต่พอเข้ามาในสัมผัสแบบจริงจัง มันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้
หากมองตามหน้ากระดาษ อาร์เซน่อลมีขุมกำลังที่อาร์แซน เวนเกอร์ ทิ้งไว้ บวกกับนักเตะใหม่ที่ถูกดึงเข้ามาในช่วงซัมเมอร์ ไม่ได้ห่างจากคู่แข่งใน Top 6 เลย แต่ความแตกต่างคืออาร์เซน่อลไม่มีสมดุลภายในทีม พวกเขามีกองกลางที่เล่นคล้ายกันอยู่เต็มที่ไปหมด ไม่มีปีกอาชีพ มีกองหน้าระดับท็อปของยุโรป 2 คนในทีม
ปัญหาของเอเมรี ก็คือจัดทีมยังไงให้มีความลงตัว หลังจากแพ้ในสองเกมส์แรกของฤดูกาล เอเมรีพยายามที่จะลองจับ โอซิล, แรมซี่ย์, โอบาเมยอง และลากาแซตต์ ลงเล่นในทีมเดียวกัน ซึ่งอาร์เซน่อลก็กลับมาชนะ 4 นัดติดต่อกันที่ คาร์ดิฟฟ์, นิวคาสเซิ่ล, เอฟเวอร์ตัน และวัตฟอร์ด แต่ยิงประตูในครึ่งแรกได้แค่ลูกเดียวเท่านั้น
เขายังต้องมีการปรับเปลี่ยนทีมในครึ่งเวลาหลังเหมือนเดิม ความเปลี่ยนแปลงต่อมาก็คือ อารอน แรมซี่ย์ ถูกดร็อปออกไปจากทีม กองกลางทีมชาติเวลส์ถูกขยับขึ้นมาสูงในตำแหน่งกองกลางตัวรุกในยุคของเอเมรี แต่เขากลับทำผลงานได้ไม่เข้าตา
ด้วยความที่เขาไม่ใช่นักเตะที่คุมจังหวะเกมส์ได้ หรือเป็นตัวสร้างสรรค์เกมส์ที่ดี อีกทั้งจุดเด่นที่สุดของแรมซี่ย์ คือการวิ่งสอดจากแดนกลางเข้าไปในกรอบเขตโทษ การที่เขายืนสูงทำให้พื้นที่ในการวิ่งมีน้อย และแน่นอนว่าเขามีตัวประกบติดตามแน่นอน ต่างจากการยืนกองกลาง ที่คู่ประกบอาจไม่ได้ตามเป็นเงาตามตัว
อเล็กซ์ อิโวบี้ คือลงที่ลงมาแทนแรมซี่ย์ และมีส่วนในการพาทีมชนะเอฟเวอร์ตัน และวัตฟอร์ด เวลานั้นลูคัส ตอร์เรยร่า เข้ามายึดตำแหน่งตัวจริง ทำให้คู่กลางมีสมดุลมากกว่าในต้นฤดูกาล แต่ปัญหาของเอเมรียังไม่หมด
เขากำลังเรียนรู้บนเรียนจากเกมส์เสมอ คริสตัล พาเลซ, ลิเวอร์พูล และวูลฟ์ การปรับเปลี่ยนต่อมาคือการให้ โอบาเมยอง กับลากาแซตต์ สามารถลงเล่นในทีมเดียวกันได้ เห็นได้ว่าเขาพยายามที่จะใช้ระบบ 4-2-2-2 คือการเล่นระบบกองหน้าคู่
ซึ่งก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายหรือไม่?
รูปแบบการเล่นที่คาดเดาได้
เสียงวิจารณ์ของอาร์แซน เวนเกอร์ ตลอดหลายปีก่อนหน้านี้คือ รูปแบบการเล่นที่คาดเดาได้ง่าย ไม่ว่าจะเจอกับคู่แข่งแบบไหน เวนเกอร์ก็จะยึดมั่นกับสไตล์การเล่นแบบเดิม
มาถึงยุคของ เอเมรี เขาแสดงความชัดเจนกับการขึ้นเกมส์จากแนวรับ โดยเริ่มเกมส์จากผู้รักษาประตู ช่วงแรกดูเงอะงะ จนถูกสื่อจับไปวิจารณ์ไม่มีชิ้นดี แต่หลังๆ รูปแบบการขึ้นเกมส์ของอาร์เซน่อล ทำได้ไหลลื่นมากขึ้น
แต่จากเกมส์กับคริสตัล พาเลซ เราได้เห็นว่าอาร์เซน่อลมีปัญหาในการผ่านบอลไปยังพื้นที่สุดท้ายของคู่แข่ง จากาภาพด้านล่าง เมื่อกองกลางของอาร์เซน่อลได้บอล เขาทำได้เพียงแค่ส่งบอลกลับหลังไปให้กับเซนเตอร์ หรือไม่ก็จ่ายถางออกไปให้กับฟูลแบ็ค หรือจะเลือกจ่ายเสี่ยงขึ้นไป โดยที่มีแผงกองกลางของพาเลซบล็อกเอาไว้อยู่
สุดท้าย ตอร์เรยร่า เลือกที่จะส่งกลับไปให้กับกองหลัง วิธีแก้ปัญหาคือการที่ เมซุต โอซิล ดึงตัวเองลงมาต่ำ เพื่อช่วยในการลำเลียงบอลขึ้นหน้า แต่การที่โอซิล ที่อยู่ห่างจากกรอบเขตโทษ ทำให้ความอันตรายหายไปด้วยเช่นกัน
เกมส์ถัดมาคือเกมส์ที่เสมอกับวูลฟ์ในบ้านของตัวเอง รูปแบบการเข้าทำที่เราเห็นได้ชัดในยุคของเอเมรี ก็คือการใช้ 2 รุม 1 ผู้เล่นตำแหน่งแบ็คของคู่แข่ง และหาจังหวะ Cut back กลับมาให้เพื่อนเข้าฮอต
แต่วูลฟ์มาในระบบกองหลัง 5 คน ที่ทำให้จำนวนผู้เล่นริมเส้นของอาร์เซน่อล มีน้อยกว่าผู้เล่นของทางวูล์ฟ ส่งผลให้อาร์เซน่อลมีปัญหาในการเล่นทะลุไลน์ด้วยการเล่น 1-2 ระหว่างปีกกับแบ็ค ทำให้กลายเป็นสถานการณ์ 2 เจอ 3
ตัวอย่างภาพด้านบน แมตต์ โดเฮอร์ตี้ ขยับตามโคลาซินัช ส่วนไรอัน เบนเน็ต ก็บล็อคตามวิ่งของอิโวบี้ เช่นเดียวกับฝั่งขวา เบเยริน ก็เจอวิงแบ็คของวูลฟ์เข้าหาบอลด้วยความดุดัน บีบให้เขาต้องส่งคืนหลังกลับไปให้กับมุสตาฟี่
ขาดนักเตะประเภทที่เลี้ยงบอลทะลุทะลวงได้ดี
แนวรุกของอาร์เซน่อล ยังขาดผู้เล่นแนวรุกที่สามารถเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง ดึงผู้เล่นแนวรับของคู่แข่งออกมาจากตำแหน่ง หรือเลี้ยงบอลจี้เข้าหาคู่แข่ง แต่เวลานี้พวกเขาไม่มีปีกอาชีพ ที่ทำได้แบบนั้น
ตอนนี้เอเมรี ใช้ โอบาเมยอง ขยับออกมายืนฝั่งซ้าย แต่เขาเป็นคนที่เลี้ยงบอลแบบเงอะงะ และเชื่อมเกมส์กับเพื่อนก็ทำได้ธรรมดามาก แม้ว่าดาวยิงกาบองจะกดไปแล้ว 7 ประตูในพรีเมียร์ลีก แต่ 4 ประตูเป็นการลงมาเล่นเป็นตัวสำรอง 2 เกมส์ ส่วนเกมส์ที่ลงเป็นตัวจริง ยิงได้แค่ 3 จาก 10 เกมส์
อิโวบี้ เป็นนักเตะทีสามารถเลี้ยงบอลได้ แต่ไม่มีศักยภาพที่จะเผาแนวรับป้องกันของคู่แข่ง ในช่วงตลาดรอบต่อๆ ไป เอเมรี ควรที่จะหาปีกอาชีพเข้ามาเสริมแนวรุก จะได้เพิ่มมิติในเกมส์รุกให้หลากหลายกว่านี้
ได้รับข้อมูลที่เยอะเกินไป
นักเตะบางคนของอาร์เซน่อล ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพวกเขาได้รับคำแนะนำทางด้านแท็กติกที่เพิ่มขึ้นภายใต้เอเมรี และศึกษาทั้งจุดแข็ง และจุดอ่อนของคู่แข่ง อย่างที่เป็นที่ทราบกันดีว่าตลอดหลายปี อาร์เซน่อลขาดการรับรู้ในเรื่องของการโค้ช
นักเตะอาจจะยินดีที่จะได้รับข้อมูลที่ท่วมท้นแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นมันเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับพวกเขา ในการเตรียมตัวก่อนเกมส์ ภายใต้เวนเกอร์ ไม่ได้ถูกใส่ข้อมูลมากแบบนี้ เพราะกุนซือเมืองน้ำหอม เน้นให้อิสระกับนักเตะในการใช้ความความสามารถของตัวเองในสนาม
เป็นไปได้ว่าตอนนี้นักเตะอาร์เซน่อล มีเรื่องแท็กติกที่ต้องคิดอยู่ในหัว ขอหยิบยืมคำในวงการกอล์ฟมาใช้คืออาการ "Paralysis by analysis" อธิบายสั้นๆ ว่า พวกช่างคิด คิดละเอียดทุกขั้นตอน รู้จักเทคนิตมากมาย แต่สุดท้ายไม่รู้จะเลือกอะไรให้เกิดผลที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ไม่เชื่อมั่นในตัวแนวรับ
โจทย์แรกที่ อูไน เอเมรี ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาในการรับงานคุมทีมอาร์เซน่อล ก็คือ เกมส์รับที่เมื่อฤดูกาลก่อน ทีมปืนใหญ่สังเวยประตูให้คู่แข่งไปมากถึง 51 ประตูในพรีเมียร์ลีก และด้วยเม็ดเงินในการทำทีม ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก
แผงแบ็คโฟร์ของอาร์เซน่อลตอนนี้ ก็ยังเป็นชุดเดียวกับที่เวนเกอร์ใช้เมื่อปีก่อน ปัจจัยความไม่เชื่อมั่นในแผงแบ็คโฟร์เป็นหนึ่งในเหตุผลที่อาร์เซน่อลเริ่มต้นเกมส์ไม่ดี เพราะพวกเขากังวลจะโดนจังหวะโต้กลับเร็ว เป็นอาการเดียวกับ โฆเซ่ มูรินโญ่ ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มาให้ความสำคัญกับเกมส์รับมาก จนทำให้เกมส์รุกมีปัญหา
ดังนั้นทำให้ครึ่งเวลาแรก เอเมรี โฟกัสไปที่การทำให้เกมส์รับมั่นคงก่อน จากนั้นถึงจะเสี่ยงมากขึ้นในครึ่งเวลาหลัง เห็นได้จากสถิติ แม้ว่าอาร์เซน่อลจะทำผลงานได้ดีขึ้นในครึ่งเวลาหลัง แต่พวกเขากลับโดนส่องประตูมากกว่าเมื่อเทียบกับครึ่งแรก แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเล่นเสี่ยงมากขึ้น
ปัญหานี้มีสองทางเลือก คืออันดับแรกพัฒนาแนวรับที่มีอยู่ให้ดีขึ้น หรืออีกทางเลือกคือการซื้อกองหลังที่ดีกว่าเดิมเข้ามาในช่วงตลาดเปิดรอบสอง จริงๆ การมี ลูคัส ตอร์เรยร่า เข้ามา ก็ช่วยให้อาร์เซน่อลเสียประตูลดลง จากช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล อย่างไรก็ตามพวกเขาเก็บคลีนซีตได้เพียงแค่ 2 นัดเท่านั้น