อาร์แซน เวนเกอร์ ตัดสินเปลี่ยนแท็กติกมาใช้ระบบ 3-4-2-1 และทำให้ทีมสามารถเก็บชัยชนะได้สองนัดติดต่อกัน โดยเฉพาะผลงานเมื่อวันอาทิตย์ที่คว่ำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ ไปได้อย่างสวยงาม
อันที่จริงระบบกองหลังสาม มีหลายทีมในพรีเมียร์ลีกหันมาใช้กันอย่างแพร่หลายในฤดูกาลนี้ แต่ก็เป็นอะไรที่น่าประหลาดใจกับการเปลี่ยนระบบในระหว่างฤดูกาลของเวนเกอร์ เพราะตลอด 20 กว่าปีที่เขาคุมอาร์เซน่อล เราไม่เคยเห็นเขาทำแบบนี้มาก่อน
หลายปีที่ผ่านมา เวนเกอร์ ยึดมั่นกับระบบ 4-2-3-1 มาตลอด แต่เขาก็ไม่สามารถดึงศักยภาพของแผนการเล่น ดังกล่าวออกมาได้อย่างเต็มที่เสียที อาร์เซน่อลก็ยังมีผลการแข่งขันที่ย่ำแย่เวลาเจอเกมส์ใหญ่ จนแฟนบอลของทีมออกมาเรียกร้องให้เขาอำลาตำแหน่งได้แล้ว หลังจากห่างหายจากแชมป์พรีเมียร์ลีกมานาน 13 ปี พร้อมกับจอดป้ายในรอบ 16 ทีมสุดท้ายแชมเปี้ยนลีกมา 7 ปีดติดต่อกัน
การปรับแผนการเล่นของอาร์เซน่อลครั้งนี้ สิ่งแรกที่ปังก็คือเกมส์รับ กับการเพิ่มเซนเตอร์แบ็คเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งคน บวกกับวิงแบ็คถอยลงมาเล่นเสมือนฟูลแบ็คทำให้พวกเขามีกองหลัง 5 คน ซึ่งทำให้แมนซิตี้ ยากที่จะหาที่ว่่างตรงกลางในการเจาะประตูของอาร์เซน่อล
บีบให้ซิตี้ต้องออกไปเล่นเกมส์ริมเส้นเป็นหลัก แต่การที่มีสามเซนเตอร์ยืนอยู่ในกรอบเขตโทษ ช่วยให้อาร์เซน่อลเคลียร์บอลจากลูกเปิดริมเส้น รวมถึงลูกเตะมุมไปได้ 31 ครั้ง โดยมีกาเบรียล และโฮลดิ้ง เป็นสองคนที่สกัดบอลได้มากที่สุด 8 และ 6 ครั้งตามลำดับ
ตำแหน่งที่ยากที่สุดในแผนการเล่นนี้ก็คือวิงแบ็ค แต่อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน มีหนึ่งเกมส์ที่ดีที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของตัวเองไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และเป็นคนคลอสบอลไปให้ นาโซ่ มอนเรอัล วิงแบ็คอีกข้างเข้าชาร์จประตูตีเสมอ 1-1
วิงแบ็คทั้งสองฝั่งทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย มีส่วนสนับสนุนเกมส์รุก และเล่นเกมส์รับได้อย่างยอดเยี่ยม อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน สร้างโอกาสได้มากที่สุดของอาร์เซน่อล และเป็นนักเตะที่เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งมากที่สุดในสนามวันนั้น
จากสองเกมส์ที่เขารับบทบาทวิงแบ็ค ดูเหมือนเขากำลังจะหาตำแหน่งที่ดีที่สุดของตัวเองเจอเสียที ผลงานทั้งสองนัดแสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดี แต่อาจไม่ดีนักต่อ เอคตอร์ เบเยริน ที่อาจจะหลุดไปนั่งสำรองยาวๆ
อีกจุดที่น่าสนใจก็คือการขึ้นเกมส์บุกของอาร์เซน่อลมีเราได้เห็นถึงความหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่อาร์เซน่อลจะขึ้นเกมส์รุกจากแดนกลาง ก็เสมือนอาจารย์ที่ออกข้อสอบเหมือนเดิมทุกปี จนลูกศิษย์จับทางข้อสอบได้หมด ยิ่งการขาดการ์ซอล่า ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
ครึ่งแรกเรายังได้เห็นอาร์เซน่อลขึ้นเกมส์จากแดนกลางเป็นหลักอยู่ ซึ่งซิตี้ก็ตามประกบคู่กลาง บีบให้กองหลังอาร์เซน่อลต้องเปิดบอลยาวขึ้นหน้าไปเอง และผลลัพธ์คืออาร์เซน่อลครองบอลได้แค่ 28% เท่านั้น
แต่ในครึ่งเวลาหลัง อาร์เซน่อลหันมาขึ้นเกมส์จากริมเส้นมากขึ้น ทำให้ซิตี้ก็ดักทางกันไม่ถูกเหมือนกัน พลิกจากรูปเกมส์ที่เป็นรองสุดกู่ กลับมากดใส่ซิตี้อยู่ข้างเดียว และการที่ทีมเอาบอลจากหลังขึ้นหน้าได้ ก็หมายถึงบอลจะไปถึง อเล็กซิส และโอซิล มากขึ้น
ส่วนที่ยังไม่ปังเท่าที่ควร เริ่มจากกองหน้าตัวเป้า โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ที่ยังเล่นไม่เข้ากับระบบใหม่ ต่างจากแดนนี่ เวลเบ็ค ที่ลงมาแล้วทำให้เกมส์รุกของอาร์เซน่อล เร็วและอันตรายมากขึ้น จริงๆ พวกเขามีโอกาสตอกฝาโรงแมนซิตี้หลายครั้ง แต่มาพลาดในจังหวะสุดท้ายกันเอง อย่างไรก็ตามต้องมารอพิสูจน์ว่าหากให้เวลเบ็ค ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง เขาจะเล่นได้แบบที่ลงมาเป็นตัวสำรองหรือเปล่า
มิดฟิลด์คู่กลางยังคงดูเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในแท็กติกใหม่ อารอน แรมซี่ย์ ยังคงหลุดออกจากตำแหน่งอยู่บ่อยครั้ง และกรานิต ชาก้า ก็มีเสียบอลอยู่หลายครั้งเช่นกัน ทั้งสองคนคงต้องทำงานหนักอีกเยอะ ก่อนที่ต้องเผชิญหน้ากับคู่กลางสุดแกร่งของเชลชีทั้ง เนมันย่า มาติช และเอ็นโกโล่ ก็องเต้ ในรอบชิงชนะเลิศ
การปรับแท็กติกใหม่ แม้จะมีจุดที่ต้องปรับ แต่มันก็เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ถึงจะมาช้าไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มา ทำให้แฟนบอลของอาร์เซน่อลเริ่มมีหวังมากขึ้น กับ 7 เกมส์ลีกที่เหลือในการลุ้นท็อปโฟร์ และการลุ้นแชมป์เอฟเอ คัพสมัยที่ 13

มาช้ายังดีกว่าไม่มา!! แท็กติกใหม่ 3-4-2-1 ของอาร์เซน่อลอะไรปัง...อะไรแป๊ก
Started by
Admin
, Apr 25 2017 03:17 PM, 21 replies to this topic
#1
Posted 25 April 2017 - 03:17 PM
PG SLOT
#17
Posted 25 April 2017 - 09:10 PM
++ ถ้าเน้นตรงนี้ได้จะทำให้ทีมเราแกร่งขึ้นไปอีกขั้นเลยขอเสริมอีกหน่อยคับ เวลาทีมเสียเตะมุมไม่อยากให้รับแบบคุมโซนเลย น่าจะประกบตัวต่อตัวเพื่อให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนที่ได้ยากขึ้น
เมื่อก่อนก็เล่นประกบตัว แต่ทำไม่ดี ปีนี้เลยเปลี่ยนคุมโซนแล้วไม่ค่อยโดนลูกเตะมุม ยกเว้นนัดเวสต์บรอม เจอวิ่งมาโหม่งจากด้านหลัง
0 user(s) are reading this topic
0 members, 0 guests, 0 anonymous users