แปลบทความจาก:The Athletic UK
ปีแห่งการชี้ชะตาอนาคตของ อูไน เอเมรี เฮดโค้ชชาวสแปนิช ว่าเขาจะอยู่คุมทีมในระยะยาว หรือจะหยุดเอาไว้เพียงแค่จบฤดูกาลนี้
อาร์เซน่อล เข้าสู่ยุคใหม่แบบเต็มรูปแบบ หลังจากการเปลี่ยนแปลงสโมสรครั้งใหญ่กับการจากลาของ อาร์แซน เวนเกอร์ และอีวาน กลาซิดิช ซีอีโอของสโมสร ที่เป็นผู้ขับเคลื่อน และกำหนดทิศทางของสโมสรร่วมกันมากว่า 10 ปี และการเข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรแบบเบ็ดเสร็จของ สแตน โครเอนเก้ ที่ทำให้สถานะของสโมสรกลายเป็น Private Company ของตระกูลโครเอนเก้ไปเป็นที่เรียบร้อย
ด้านโครงสร้างบริหารงานด้านฟุตบอล ราอูล ซานเญฮี ขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่ หรือเจ้าของฉายา "ดอน ราอูล" ที่แฟนปืนต่างซูฮก จากผลงานการเสริมทัพที่น่าตื่นตะลึงในช่วงซัมเมอร์นี้ กับเม็ดเงิน 138 ล้านปอนด์ที่ทุ่มลงไป ทั้งๆ ที่ก่อนเปิดตลาด แหล่งข่าวหลายสำนักบอกว่าทีมปืนใหญ่มีงบจำกัด 45 ล้านปอนด์เท่านั้น
และจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายก็มาจนได้ เอดู การ์ปาร์ หนึ่งในสมาชิกทีมยุดไร้พ่าย เขาเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการด้านเทคนิคของทีม ด้วยความที่เขาเคยค้าแข้งกับสโมสร ทำให้เอดูสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
เอดูเข้าไปดูการฝึกซ้อมของทีมทุกวัน เดินทางไปกับทีมทุกที หนึ่งในหน้าที่หลักของเขา ไม่ใช่เพียงแค่การสนับสนุนการทำงานของ อูไน เอเมรี แต่ยังเป็นการประเมินผลงานของเอเมรีโดยตรง
อย่างที่เราทราบกันดี เมื่อครั้งที่ อูไน เอเมรี จรดปากกาคุมทีมอาร์เซน่อล 3 ปี ในสัญญาได้มีการระบุว่าอาร์เซน่อลสามารถยกเลิกสัญญากับเขาได้ โดยไม่ต้องเสียค่าชดเชย เมื่อคุมทีมครบ 2 ปี
ดังนั้น เอเมรี จะได้อยู่คุมอาร์เซน่อลต่อไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลงานในฤดูกาลนี้ เป้าหมายในปีนี้คือการได้กลับไปยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกให้ได้ หลังจากขาประจำอย่างอาร์เซน่อล ผ่านตั๋วแชมเปี้ยนลีกมา 3 ปีติดต่อกัน
ด้วยของเล่นชุดใหญ่ที่บอร์ดบริหารจัดมาให้ เอเมรี จำเป็นต้องพาสโมสรกลับไปเล่นแชมเปี้ยนลีกให้ได้สถานเดียวเท่านั้น นอกจากเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จแล้ว ทรงบอล หรือรูปเกมส์ของทีมก็ต้องชัดเจนกว่าในปีแรก
ปีแรกเอเมรี ปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นของอาร์เซน่อล ที่แตกต่างออกจากยุคของอาร์แซน เวนเกอร์ เฮดโค้ชชาวสแปนิช เปลี่ยนมาขึ้นเกมส์จากผู้รักษาประตู จำนวนครั้งในการต่อบอลลดลง และเน้นทำเกมส์รุกด้านข้างเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามแม้ว่าอาร์เซน่อล จะใกล้เคียงกับการไปเล่นแชมเปี้ยนลีก มากกว่า 2 ปีสุดท้ายของเวนเกอร์ แต่สถิติหลายอย่างก็ยังบ่งชี้ว่าอาร์เซน่อล ยังไม่ได้ดีขึ้นจากเดิมเท่าใดนัก
ไม่ว่าจะเป็นจำนวนครั้งที่ได้ยิงต่อเกมส์ ที่ลดลงจาก 15.08 ครั้งต่อเกมส์ เหลือ 11.63 ครั้งต่อเกมส์ จำนวนครั้งที่ถูกคู่แข่งส่องประตูก็สูงกว่ายุคเวนเกอร์ ทำให้ไม่ต้องแปลกใจทำไมอาร์เซน่อลเสียประตูในลีกเกิน 50 ประตูเป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน
นอกจากนี้ เอเมรี มีการปรับแท็กติกอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น 4-2-3-1, 4-4-2, 3-4-2-1 หรือ 3-4-1-2 การที่นักเตะยืดหยุ่นสามารถเล่นได้หลายระบบก็เป็นเรื่องดี แต่บางครั้งก็อาจเป็นดาบสองคน ที่ทำให้นักเตะซับซ้อนกับแท็กติก และมีข้อมูลในหัวมากเกินไป
ผู้จัดการทีมในยุคใหม่ ไม่มีเวลาในการพิสูจน์ตัวเองเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นปีที่สอง อูไน เอเมรี จำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าเขาดีพอที่จะคุมอาร์เซน่อลได้ในระยะยาว อย่างที่ครั้งนึง เจอร์เก้น คล็อปป์ กับเมาริสซิโอ โปเซ็ตติโน่ ก็ได้ผ่านจุดนี้มาแล้ว