อูไน เอเมอร์รี่ ยอดกุนซือจากแคว้นบาสก์วัย 46 ปี กำลังจะกลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของอาร์เซน่อล เขามีประสบการณ์คุมทีมมากกว่าทศวรรษ และพกดีกรีที่ไม่ธรรมดา กับการพาเซบีญ่า คว้าแชมป์ยูโรป้าลีก 3 สมัยซ้อน ซึ่งยากที่จะใครจะทำตามได้
เขาพาเปแอชเช คว้าแชมป์ 7 รายการตลอดสองฤดูกาลที่เขาคุมยอดทีมแห่งลีกเอิง แม้ว่าหลายคนจะมองว่าเขาล้มเหลว ทั้งในแง่ของการควบคุมและจัดการปัญหานักเตะภายในทีม รวมถึงการตกรอบยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ด้วยฝีมือของบาร์เซโลน่า และเรอัล มาดริด ดังนั้นมาทำความรู้จักกับว่าที่ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อลคนใหม่กันให้มากขึ้น
ผลงานคุมทีมที่ผ่านมา:
ก่อนที่เขาจะเป็นผู้จัดการทีม เขาเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก่อน แต่มีอันต้องแขวนสตั๊ดเร็วตั้งแต่อายุ 32 จากอาการบาดเจ็บ แต่เมื่ออายุ 33 เขาก็เข้าสู่วงการโค้ชทันที กับการคุมทีม ลอร์ก้า ในดิวิชั่น 3 เพียงแค่ปีแรกเขาพาทีมเลื่อนชั้นสู่เซกุนด้า ดิวิชั่นแบบไม่มีคาดคิด และฤดูกาลถัดมาเขาเกือบพาทีมเลื่อนสู่ลาลีกา ของสเปน ด้วยสไตล์การเล่นที่น่าตืนเต้น
หลังจากนั้น เอเมอร์รี่ ขยับไปคุมที่อัลเมเรียในปี 2006 แต่ทีมเก่าของเขา ลอร์ก้า ตกลั้นไปสู่ดิวิชั่น 3 ในทันที และต้องมิอันต้องยุบทีมในเวลาต่อมาอีกไม่นาน กับอัลเมเรีย เข้าพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลาลีกา ได้เป็นครั้งแรก และพาทีมจบอันดับ 8 ของตารางในฤดูกาลถัดมา ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งกับสภาพทีมที่มีทรัพยากรให้เลือกไม่มากนัก
เมื่อพิสูจน์ตัวเองมาพักใหญ่ เขาได้จับงานคุมทีมใหญ่เป็นครั้งแรกด้วยการคุมบาเลนเซียในปี 2008 เขาปรับจูนและแก้ไขทีมอย่างเร่งด่วน ภายหลังจากที่ โรนัลด์ คูมัน ทิ้งหายนะเอาไว้ เอเมอร์รี่ พาไอ้ค้างคาวจบในอันดับ 3 ของลาลีกา 3 ปีติดต่อกันในระหว่างปี 2010-2012
ปี 2012 เขาออกไปคุมทีมในต่างแดนเป็นครั้งแรก กับสปอร์ตัก มอสโก ทีมดังของรัสเซีย แต่กลายเป็นความล้มเหลวครั้งแรกในฐานะผู้จัดการทีมของเขา เอเมอร์รี่ทำงานที่นี้ได้เพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น หลังจากแพ้ดินาโม มอสโก คู่ปรับร่วมเมืองไปขาดลอย 1-5
แต่เขาก็มาแก้ตัวจากความล้มเหลวในแดนหนีขาว ด้วยการกลับมาคุมทีมเซบีญ่า ในปี 2013 แม้ว่าผลงานในเกมส์ลีกอาจไม่ค่อยน่าประทับใจ แต่ผลงานในเวทียุโรปหักล้างทุกอย่าง เขาพาทีมคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก 3 สมัยติดต่อกัน
เริ่มจากฤดูกาล 2014/15 เอาชนะดนิโปร ในรอบชิงชนะเลิศ 3-2 ต่อนั้นเอาชนะจุดโทษเบนฟิก้า แต่ที่สร้างชื่อให้ เอเมอร์รี่ จริงๆ ก็คือนัดชิงยูโรป้าลีกกับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2015/16 ครึ่งแรกเซบีญ่าตกเป็นรองไปก่อน แต่ช่วงพักครึ่งการแก้เกมส์ และสิ่งที่เขาพูดกับนักเตะ ทำให้ขุนพลลอส โรฆิบลังกอส ฮึดกลับมายิงแซงชนะทีมหงส์แดงไป 3-1
จากผลงานนั้นทำให้ ปารีส แซงต์แชร์กแม็ง ทีมระดับหัวแถวของยุโรปดึงเข้าไปเป็นผู้จัดการทีมในปี 2016 ด้วยความคาดหวังว่ากุนซือชาวบาสก์ จะพาทีมประสบความสำเร็จในยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก แบบเดียวกับที่เขาทำกับเซบีญ่า
กุนซือยอดนักปั้น:
เอเมอร์รี่ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้จัดการทีม ที่สามารถพัฒนาฝีเท้านักเตะได้อย่างยอดเยี่ยม ดั่งตัวอย่างสมัยที่เขาคุมบาเลนเซีย เขาดึงศักยภาพออกจากตัวของ ดาบิด บีญ่า และดาบิด ซิลบา และเปลี่ยนนักเตะดาวรุ่งอย่าง ฆวน มาต้า ให้กลายเป็นคีย์แมนของทีม หรือการปั้น ฆอร์ดี้ อัลบา จากนักเตะโนเนมให้กลายเป็นแบ็คเบอร์ต้นๆ ของลาลีกา
เช่นเดียวกับที่เซบีญ่า เขาช่วยยกระดับฝีเท้านักเตะในทีมมากมายไล่มาตั้งแต่ อีวาน ราคิติช, คาร์ลอส บัคก้า, เกอร์เซกอส ครีโซเวียค, บิโตโล่, อเล็กซ์ บิดัล, บิเซนเต้ อิบอร์ร่า และเกอแว็ง กาเมโร่
เราสามารถคาดหวังว่า เอเมอร์รี่ จะสามารถยกระดับนักเตะทีมชุดปัจจุบันของอาร์เซน่อลขึ้นมาได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายในการยกเครื่องทีมใหม่ทั้งหมด เพราะการปรับเปลี่ยนทีมมากเกินไป ก็ใช่ว่าจะเป็นผลดีกับทีม
ใช้วีดีโอในการวิเคราห์นักเตะ:
เอเมอร์รี่ ใช้เวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เพื่อทำการวิเคราะห์คู่แข่งทุกทีม และให้คำแนะนำนักเตะเป็นรายบุคคล แม้ว่านักเตะส่วนใหญ่จะเข้าว่าสิ่งนั้นจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาตัวเองมากขึ้น
แต่รูปแบบการทำงานแบบนี้ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จกับทุกที่ๆ อย่างที่เขาล้มเหลวกับที่สปาร์ตัก มอสโก และรวมทั้งล่าสุดกับ ปารีส แซงต์แชร์กแม็ง เขาเคยพูดถึงเนย์มาร์ว่า: "เราได้นั่งวิเคราะห์วีดีโอเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถพัฒนาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการยืนตำแหน่ง และการประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม"
อย่างไรก็ตาม เนย์มาร์ ไม่ได้ให้ความสนใจในงานวิเคราะห์ของเอเมอร์รี่เลย พร้อมทั้งเอาเรื่องไปฟ้องผู้บริหารของเปแอชเชอีกตั้งหาก หรือฆวนกิน ซานเซซ อดีตปีกทีมชาติสเปนที่เคยร่วมงานกับเอเมอร์รี่ที่บาเลนเซีย เคยพูดว่า: "โค้ชเปิดวีดีโอให้เราดูเยอะมาก จนทำให้ผมกินป๊อปคอร์นหมดไปเยอะเลยทีเดียว"
แท็กติกการเล่น:
แท็กติกที่ประสบความสำเร็จของเขาคือระบบ 4-2-3-1 ที่เน้นการโจมตีด้วยการโต้กลับเร็ว จนพาเซบีญ่าประสบความสำเร็จ แต่ที่เปแอชเช เขาถูกบีบบังคับให้กลับไปใช้ระบบ 4-3-3 หลังจากความพยายามที่จะขยับ มาร์โก แวร์รัตติ ไปยืนเป็นตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ ล้มเหลว และนักเตะต้องการให้เขากลับไปใช้แท็กติกเดิมที่ โลร็องต์ บล็องก์ และคาร์โล่ อันเชล็อตติ เคยใช้มาตลอด
แต่คงจะไม่เกิดเหตุการณ์เดียวกันนี้กับที่อาร์เซน่อล และเราสามารถนิยามแท็กติกของเอเมอร์รี่ว่า เป็นแท็กติกที่ผสมผสานระหว่างความละเอียด และการโต้กลับเร็วที่เฉียบขาด
ไร้ปัญหากับโครงสร้างบริหารงานใหม่ของอาร์เซน่อล:
อีวาน กลาซิดิช ซีอีโอของสโมสรอาร์เซน่อล ได้ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริหารงานของทีมตั้งแต่ช่วงท้ายๆ ที่อาร์แซน เวนเกอร์ คุมทีมอยู่ ด้วยการดึงมือดีทั้ง สเวน มิสลินสแตท แมวมองจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และราอูล ซานเยอี ผอ.กีฬา มาจากบาร์เซโลน่า
ในช่วงตลาดเปิดรอบสองเดือนมกราคมที่ผ่านมา เราจะได้เห็นว่า มิสลินสแตท เข้ามามีบทบาทในการซื้อนักเตะใหม่เข้ามาสู่ทีม เห็นได้ชัดเจนจากดีลการคว้าตัว คอนสแตนตินอส มาฟโรปานอส และปิแอร์-เอเมริค โอบาเมยอง จากเดิมที่อำนาจการบริหารจะรวบอยู่ที่เวนเกอร์เพียงผู้เดียว
แต่รูปแบบการทำงานที่ผู้จัดการทีม ไม่ได้มีอำนาจเต็มที่ในการเลือกนักเตะ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเอเมอร์รี่ สมัยที่เขาคุมเซบีญ่า เขาทำงานสอดประสานกับ มอนซี่ ผอ.กีฬาได้อย่างลงตัว และมีการแบ่งหน้าที่อันชัดเจน
จูเลี่ยน โลแล็ง นักข่าวดังของฝรั่งเศสพูดถึงการทำงานของเอเมอร์รี่ว่า: "มอนซี่ จะทำหน้าที่ในการดึงผู้เล่นใหม่ บ่อยครั้งที่จะเป็นนักเตะดาวรุ่ง และนักเตะที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ อาจจะเรียกว่าโนเนมก็ไม่ผิดนัก"
"อูไน เป็นโค้ช เขาจะเป็นคนที่พัฒนาและดึงศักยภาพนักเตะออกมา เขาไม่จำเป็นตอนซื้อซูปเปอร์สตาร์ค่าตัว 100 ล้านยูโร หน้าที่ของเขาคือเอานักเตะที่ มอนซี่ หามาได้เอาเข้ามาใช้ประโยชน์สูงสุดต่อทีม ยกระดับฝีเท้า และพาทีมคว้าแชมป์"
"นั่นคืองานของเขาที่อาร์เซน่อล คุณต้องการให้สักคนที่สามารถพัฒนานักเตะในสนามฝึกซ้อม เพราะอาร์เซน่อล ไม่ได้มีเงินที่จะซื้อนักเตะ 10 หรือ 15 คนได้ในซัมเมอร์เดียว นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมเขาคือคนที่เหมาะสมกับงานที่อาร์เซน่อล ผมคิดว่าเขาจะทำงานร่วมกับ สเวน มิสลินสแตท ได้ดี นักเตะอย่าง มาฟโรปานอส จะเฉิดฉายภายใต้การชี้นำของ อูไน เอเมอร์รี่ อย่างไม่มีข้อสงสัย"